Sunday, July 20, 2008

ความสุขง่ายๆที่อัมพวา (ย้ายมาจาก Multiply)

นานแล้วครับที่ไม่ได้แวะมาเขียนอะไรเลยที่ Multiply จริงๆผมไม่ได้หายไปไหน ผมแค่ย้ายสัมมโนครัวไปอยู่ที่ Facebook เป็นหลัก ใครที่อยู่ทั้งสองที่คงจะเห็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต แต่บน Facebook ไม่ค่อยมีญาติสนิท มิตรสหายมาสนใจสักเท่าไหร่ ผมเลยเริ่มกลับสู่บ้านหลังเดิมที่มีคนให้การต้อนรับดีกว่า วันนี้เลยอยากมาเขียนอะไรนิดหน่อยครับ :)

สองอาทิตย์นี้ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสบ้านนอกมา จะว่าไปก็ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพสักเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกผิดกันลิบลับ ผมไม่รู้ว่าจริงๆทำไมต้อง"อัมพวา" เพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่าเป็นเพราะละครทีวีที่ทำให้ที่นี่ดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน ครั้งแรกที่ผมไปคืออาทิตย์ก่อน ซึ่งผมไปตอนกลางวันเลยไม่ได้สัมผัสความเป็นอัมพวาอย่างที่หลายๆคนมาแสวงหา แต่ล่าสุด...ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ผมมีโอกาสได้กลับไปอีกครั้ง และครั้งนี้แหละที่ผมว่าผมได้สัมผัสความเป็นอัมพวามากกว่าใครๆอีกมากมาย...

การเดินทางครั้งนี้ผมไปกับเพื่อนๆที่ทำงาน เป็นการไปเที่ยวสั้นๆ แค่หนึ่งวันหนึ่งคืน เริ่มเดินทางบ่ายวันศุกร์ครับ กว่าจะไปถึงก็เย็นๆแล้ว เลยไม่รีรอ รีบดิ่งไปที่ตลาดน้ำยามเย็นเลย




โอ้โห แม่เจ้า... คนยังกะพันธมิตรมดเพื่อขุมน้ำตาล คนเยอะอะไรจะขนาดนั้นครับพี่น้อง แตกต่างกับอาทิตย์ก่อนโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คน คน คน... แย่งกันเดิน แย่งกันกิน แย่งกันหายใจ แต่ไหนๆมาแล้วก็ต้องฝ่าเดินมันไป ทั้งๆที่เป็นที่เดิมที่เคยมาแค่เจ็ดวันก่อน แต่ทุกอย่างมันช่างแตกต่างกันครับ ไม่น่าประทับใจเลย ดีว่าครั้งก่อนเดินมันทุกมุมแล้ว เลยไม่รู้สึกพลาดอะไรไป
หลังจากที่เหนื่อยกับฝูงพันธมิตรแล้ว ก็เลยกลับบ้านครับ ซึ่งบ้านเนี่ย เป็นของญาติของพี่คนหนึ่งที่บริษัท มาอาศัยเค้าอยู่ครับ เป็นชีวิตแบบวิถีไทยจริงๆ ผมได้กลับมาอาบน้ำตุ่มแบบที่ไม่เคยมาแสนนาน และเนื่องจากว่าบ้านมันติดแม่น้ำ คราวนี้เลยแก้ผ้าอาบน้ำหน้าบ้านตรงข้างแม่น้ำเลย เย็นสบายและรู้สึกอยู่กลางธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูกครับ

Hilight ของการเดินทางนี้อยู่ที่การพายเรือดูหิ่งห้อยตอนกลางคืน... เนื่องจากว่าคนที่มาก็ไม่ได้มีใครเป็นเด็กต่างจังหวัดเลย ผมเลยต้องอาสาเป็นมือพายของเรือไป... เราพายกันไป 2 ลำ แบ่งคนเท่าๆกัน ดีว่าพี่ที่คุมท้ายเรือผมเค้าพายเป็น ไม่งั้นผมคงพายเรือวนไปวนมา หรือไม่ก็ไม่ไปไหนเลย น่าอายจริงๆ... ผมจำเวลาที่เราพายกันไม่ได้ แต่รอบข้างมืดสนิท อากาศก็น่าจะเย็นสบายนะครับ ที่ผมไม่แน่ใจและใช้คำว่า"อาจจะ"เนี่ยเป็นเพราะว่าการพายเรือทำให้ผมเหงื่อท่วม ผมเลยไม่รู้ว่าจริงๆอากาศมันเป็นยังไง แต่เท่าที่ดูจากคนอื่นๆ อากาศมันคงจะดีอ่ะครับ เห็นนั่งกันสบาย คุยกันสนุก -_-"




เราไปกันแบบลูกกรุงมากๆ เจอหิ่งห้อยกระพริบตัวเดียวก็ตื่นเต้นกันแล้ว แถมมีเพื่อนคนหนึ่งคิดว่าหิ่งห้อยต้องอยู่กับต้นลำพู เพราะงั้น ไม่ว่าคืนนั้นจะเจอต้นไม้อะไร เธอจะต้องเรียกมันว่าต้นลำพูหมด ขำจริงๆครับ...


การพายเรือคืนนั้นทำให้ผมรู้สึกสงบมาก ผมอธิบายไม่ถูก สงสัยเป็นเพราะบรรยากาศที่มันเงียบสงบมั้งครับ หรือเป็นเพราะความมืด หรือเป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่การไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบไม่มีร่องรอยความเจริญอะไรเลยนี่มันเป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ เหมือนกับเวลามันไม่ได้เดินไปไหนเลย ผมไม่รู้ว่าผมพายเรือไปนานเท่าไหร่แล้ว ผมก็แค่พายไปเรื่อยๆ ดูหิ่งห้อยตัวแล้วต้วเล่ากระพริบแสง บินจากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง บางตัวหลงมาเกาะเพื่อนผม เลยโดนทำโทษเป็นการยิงแสงแฟลชใส่ซะ แต่มันช่างสงบจริงๆ สงบจนผมรู้สึกว่า ถ้าผมหลงทาง พายกลับไม่ถูก ผมก็แค่เอนตัวนอนลงไป แล้วก็หลับไปได้เลย ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่ต้องพะวงอะไรทั้งนั้น งานการทุกอย่าง ไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดถึงที่นี่ ผมพายเรือของผมไปเรื่อยๆ คุยกับเพื่อนๆบ้างเป็นระยะๆ นั่นคงจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ผมรู้สึกว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่ต้องวิ่งตามอะไรให้เหนื่อย ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น สำหรับผม ณ วินาทีนั้น ผมหลุดพ้นจากพันธนาการทุกอย่าง... อาจจะฟังดูเวอร์ แต่ผมรู้สึกสงบและเป็นสุขทั้งๆที่ผมไม่ได้ลงทุนอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว...

ระหว่างทางกลับ พี่เจ้าของบ้านที่ใจดีก็แวะสอยมะพร้าวกลับมาด้วย เต็มเรือเลยทีเดียว พวกเราเลยต้องรับหน้าที่กำจัดมะพร้าวอ่อนสดๆจำนวนมากมาย อร่อยจริงๆครับ หอมและเนื้อนุ่มมาก คืนนั้น แม้จะแปลกที่แต่ผมก็นอนหลับไปได้สบายๆ

ผมตั้งใจไว้ว่า ต่อจากนี้ไป ผมจะต้องหลบ"ความเจริญ"และกลับสู่ห้องกาลเวลาอย่างนี้อย่างน้อยปีละครั้ง มันเป็นการเติมพลังที่ดีมากครับ แค่คืนเดียวสั้นๆ มันทำให้แบตเตอรี่ที่เสื่อมๆของผมกลับมามีพลังเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

ถ้าคุณมีโอกาส อย่าลืมทดลอง"ทิ้งตัวเองเพื่อกลับสู่ความเป็นตัวเอง"กันบ้างนะครับ ถ้าใครสนใจ ก็ลองแวะมาบอกกล่าวนะครับ เผื่อครั้งหน้าผมไป จะได้ชวนไปด้วยครับ หรือถ้าใครไม่รังเกียจให้ผมเกาะไปด้วย ก็แวะมาชวนด้วยนะครับ ผมจะเป็นเพื่อนเดินทางที่ดี รับรองครับ ^^

Monday, July 7, 2008

Q3...

แล้วก็ไม่เคยทำได้ซะที ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะมาเขียนบ่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ผ่านไปอีกเป็นชาติกว่าจะได้มาเขียนอะไรซักที เพิ่งจะรู้ว่าครั้งล่าสุดที่เขียนคือวันเกิดผมเอง ว้าว... ผ่านไปสามเดือนกว่าแล้วนะเนี่ย เวลาเดินเร็วจริงๆ

เกือบสองเดือนแล้ว ที่ชีวิตกลับมาเป็นโสดเต็มๆตัวอีกครั้ง ไม่ได้อยู่ในสภาพนี้นานแล้ว ก็ตั้งแต่เริ่มเรียน MIM ชีวิตก็ยุ่งๆ มีอะไรทำมากมายมาตลอด ทั้งสนุกสนาน วุ่นวาย หัวเราะ ร้องไห้ มีทุกรสชาติเลยตลอด 3 ปีนี้ วันนี้ต้องกลับมาปรับพฤติกรรมตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ตอนแรกๆก็เรียกว่าสาหัสทีเดียว แต่ก็นะ... มันก็เหมือนการโดนรถชนอ่ะครับ มันเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน แล้วก็เจ็บไม่น้อยทีเดียว แต่สำหรับคนภายนอกมันเป็นแค่แผลที่มองไม่เห็นด้วยตา ต้องบอกว่าที่รอดมาได้เพราะมีกำลังใจดีๆมากมายรอบตัวครับ ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกคนที่อยู่กับผมมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แล้วก็ต้องขอบคุณอีกหลายคนที่ไม่ได้อ่านด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ อาๆ น้องๆอีกหลายคน พี่ๆที่ทำงาน มันเป็นสองเดือนที่สับสนวุ่นวายมากสำหรับผม แต่ผมก็รอดมาได้แล้ว สิ่งร้ายๆผ่านไปแล้ว ครึ่งปีหลังนี้จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ ผมว่ามันจะเป็นครึ่งปีที่ดีมากๆเลยครับ ^^

อย่างแรก... Project ที่ทำมาตลอด 4 เดือนปิดลงไปแล้วหนึ่งอัน เป็นความภาคภูมิใจมากๆ คิดว่าภายในเดือนนี้คงจะได้เห็นกันแล้วล่ะครับ หมายถึงว่าการแถลงข่าวนะครับ ตัว Project จริงๆคงจะยังไม่เห็นจนกว่าปีหน้า มันคืออะไร? รอดูครับ เร็วๆนี้แน่นอน
อย่างที่สอง... หมอดูบอกว่าผมจะเจอความรักครั้งใหม่เร็วๆนี้ 555 ใช่ครับ ผมไปดูหมอมา ถ้าคนที่รู้จักผมคงจะไม่เชื่อ เพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย แต่ผมรู้ละว่าทำไมศาสตร์พวกนี้ถึงอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ วันที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างมากมาย นั่นก็เพราะว่าวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเป็นคำตอบให้กับสิ่งที่มองไม่เห็นหลายๆอย่างได้ วันที่คนต้องการคำตอบประหลาดๆ ต้องการกำลังใจ สิ่งที่มองไม่เห็นกลับให้ความหวังเราได้มากกว่าทฤษฎีใดๆ อย่างไรซะ เอาเป็นว่าผมเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่หมอดูบอกละกัน :D มาเร็วๆนะ... ผมรออยู่
อย่างที่สาม... ผมกลับมาใช้เวลาอยู่กับการไปฟิตเนส และเจอเพื่อนๆ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำอยู่แล้ว น้ำหนักลดไป 10 กิโล รู้สึกดีขึ้นมากครับ แล้วก็ได้เจอเพื่อนๆบ่อยขึ้นเยอะ เรามีนัดสังสรรค์กันทุกเดือน สนุกดีจริงๆ
อย่างที่สี่... ผมกำลังเตรียมตัวก้าวออกจาก comfort zone ของผมครั้งใหญ่ ผมยังกลัวอยู่ จริงๆแล้วผมกลัวมาตลอด 2 ปีที่ผมคิดเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ถ้าจะพูดง่ายๆ ผมก็ไม่ค่อยจะมีอะไรให้ต้องเสียแล้ว ผมว่าผมจะทำให้มันเกิดขึ้นในปีนี้ล่ะ

ชีวิตของท่านผู้อ่านเป็นไงบ้างครับ มา update กันบ้างนะครับ

ขอให้ทุกคนมีความสุขและมีกำลังใจที่ดีนะครับ

Thursday, March 13, 2008

28 years later...

และแล้ว... ก็ยี่สิบแปดแล้วครับ ^^ อีกสองปีสามสิบละ ชีวิตยังไม่ไปถึงไหนเลย... วันนี้เริ่มต้นด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์ไปขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนปกติ พอเหลืออีกแค่ 30 เมตรจะถึงจุดที่ลง จู่ๆ ป้ารถเข็นก็โผล่มาด้านขวาของแว้นที่นั่งอยู่ แม่เจ้า...เบรกไม่ทันแล้ววว... เข่าผมเสยหม้อเม่ออะไรของแกกลิ้งเกลื่อน ยีนส์ตัวโปรดเป็นรอยดำเป็นแถบ พี่แว้นอยู่ในอารมณ์ตกใจ จะจอดมันกลางถนนซะงั้น ผมแทนที่จะเป็นคนเจ็บมีคนมาถามไถ่ ผมต้องบอกพี่แว้นว่า "พี่ๆ ขับไปก่อน จอดข้างถนนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน" พอพี่แกไปจอด ผมก็ตรวจดูเข่า เอาวะถลอกนิดเดียว ออกจะเหนือความคาดหมายเหมือนกันแต่ไม่เป็นอะไรมาก เอื้อมมือไปจ่ายตัง อ้าว... พี่แว้นมือสั่นซะงั้น ผมก็สายอยู่แล้ว เลยรีบไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันกลับไปเห็นป้าแกปลอบพี่แว้นอยู่ ผมนึกในใจ "มันไม่ได้เป็นไรเลยป้า มันหักหลบทัน เข่าผมต่างหากที่เสยของป้าอ่ะ..." ให้มันได้ยังงี้สิ

แล้วก็เผชิญกับวันงานหนักอีกหนึ่งวัน...จนเย็น พี่ไดเรคเตอร์แกล้งทำเป็นเรียกประชุม ไอ้เราก็เดาเกมออกแต่แรกละว่าจะมีเป่าเค้ก ก็เลยเอาน่ะ เล่นกับแกหน่อยละกัน... ฉากแกล้งประหลาดใจและดีใจเนี่ยเป็นฉากหนึ่งที่สำหรับผมแล้วน่าจะยากพอๆกับฉากร้องไห้... มันทำยากจริงๆนะครับท่านผู้อ่าน คือคุณเดาออกแล้ว แต่ต้องทำเป็นไม่รู้ คุณต้องทำเสียง "โห... ไปเตรียมกันตอนไหนเนี่ย" ให้เนียนๆ ระดับเสียงไม่ดังไปหรือเบาไป มือไม้ต้องทิศทางพอดี ไม่งั้นคนเตรียมจะเสียใจ... สำหรับผมแล้ว วันนี้ผมเข้ารอบชิงดารานำแสดงชายดีเด่น อาจจะไม่ถึงกับได้รางวัล แต่ผมว่าผมเข้ารอบสุดท้ายแน่ๆ...

ที่ผมดีใจคือยังมีคนบนโลกนี้ใส่ใจพอที่จะรู้ว่าผมยังไม่ได้แก่เกินไป เอ่อ.. แอบเข้าข้างตัวเองอ่ะนะเพราะผมไม่รู้จริงๆว่าทำไมเค้กที่ผมได้ถึง.... เอาเป็นว่าไปดูรูปเองละกันครับ



เค้กหมีพูห์ครับพี่น้อง...เข้ากับวัยสุดๆอ่ะ

สุดท้ายแล้ว ผมก็มีความสุขดีกับวันนี้ ^^ ไม่ได้เลิศเลอ แต่ก็ธรรมดาแบบมีสีสัน... ขอบคุณทุกคนนะครับสำหรับคำอวยพรและที่อุตส่าห์จำกันได้ ทุกข้อความทางมือถือ ทาง MSN ทาง Facebook และ hi5 รวมทั้งที่บอกกับผมด้วยตัวเอง มันทำให้วันนี้ วันที่ผมเข้าใกล้การมีอายุ 30 มีความหมายและสร้างรอยยิ้มให้ผมได้ทั้งวัน... ขอบคุณครับ มีความสุขจัง _/\_

Wednesday, February 27, 2008

My Pepsi

สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้่เรียกได้ว่าหนักหนามากๆ การที่ได้ย้ายจากตำแหน่งเดิมกลับมาทำ business development อีกครั้งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ก็สูบพลังชีวิตแทบเกลี้ยง หลังจากออกจากที่ทำงานก็ไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว เตียงเท่านั้นที่หัวคิดถึง เป็นการทำงานที่ทำให้นึกถึงประโยคที่ Bill Randall เคยพูดกรอกไปในหัวหลายๆครั้งว่า Do whatever it takes.. ครั้งนี้เป็นการทำงานที่ต้องบอกว่าดูว็อทเอเวอร์อิทเทคส์จริงๆ ต้องคิดตลอดเวลา ต้องจัดลำดับการทำงานให้ optimal ที่สุดเพราะถ้าไปเสียเวลากับอะไรสักอย่างมากเกินไป ที่เหลือเละ... ความโชคดีคือการได้ปรับตำแหน่งนิดหน่อย เป็นการปรับที่เพิ่มความคล่องตัวขึ้นได้เยอะจนเห็นได้ชัด การทำงานที่ต้องรอลายเซ็นต์หลายๆครั้งไม่ต้องมีอีกต่อไป คิด..เซ็นต์..ลุย.. แต่ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ เพราะความรับผิดชอบที่ได้ก็ตามมาอีกถาโถม... 4 โปรเจ็คใหญ่ๆไหลเข้ามาทันที อันนึงเป็นการปั้นประวัติศาสตร์ใหม่ อีกอันเป็นการทดลองแตกแนวไปจากธุรกิจหลักของบริษัท อีกอันคือการลุยงานช้างที่ค้างอยู่ให้จบ และอีกอันคือโปรเจ็คที่ต้องเป็นโปรเจ็คแห่งปี แล้วต้องขึ้นสู่ที่หนึ่งให้ได้ ถ้าพูดจะให้ง่ายก็คือการล้มช้างที่บังเอิญเป็นช้างที่ตัวใหญ่ซะด้วย

เหนื่อยครับ แต่สนุกจริงๆ ถ้าเทียบงานที่ทำกับเงินที่ได้ มองให้ตายก็ต้องบอกว่าไม่คุ้ม เป็นที่อื่นน่าจะได้มากกว่าเกือบเท่าตัว แต่มันก็กลับไปที่สิ่งที่ผมต้องการ นั่นก็คือโอกาสเรียนรู้และทดลอง ก่อนนี้ผมค่อนข้างเบื่อกับงานที่แผนกเดิม ตอนนี้มีได้โอกาสที่จะลองโน่นลองนี่ ทำโน่นทำนี่ หลายๆอันต้องเรียกว่าเป็นเกียรติเลยด้วยที่ได้รับมอบหมายให้ทำ นั่นคือสิ่งที่ำให้ทุกวันที่ตื่นมาอยากรีบไปทำงาน ผมดีใจที่ได้กลับมารู้สึกอย่างนี้อีกครั้ง การที่ได้ดึงพลังในตัวออกมาใช้จนเกลี้ยงทุกวัน กลับไปตายที่บ้าน และตื่นมาอีกครั้งพร้อมกับพลังที่เต็มเหมือนเดิม นี่แหละความคุ้มของการมีชีวิตในแต่ละวัน แต่จริงๆผมก็ยังอยากที่จะสามารถแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกเหมือนกัน ตอนนี้ผมต้องบ่ายเบี่ยงทุกอย่างออกจากชีวิตประจำวันเพราะหมดแรงจริงๆ ผมทิ้งเพื่อน กิจกรรมข้างนอก การนั่งอ่านหนังสือสบายๆ การนั่งอ่านข่าว การนั่งฟังเพลง การดูทีวี เรียกว่าตัดทิ้งเกือบทั้งหมดเพื่อเก็บแรงไว้ตอนกลางวัน แต่นั่นก็เพียงช่วงนี้ครับ ผมยังไม่ลงตัว อีกเดี๋ยวพอผมปรับตัวได้แล้ว ผมจะเต็มที่ที่ทำงาน เต็มที่นอกที่ทำงาน และนั่นแหละครับ เป๊บซี่ของผม

เต็มที่กับชีวิต!

ปล. โค้กอย่าได้น้อยใจไป อย่างไรผมก็ยังไม่ดื่มเป๊บซี่ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ
ปล.2 วันนี้แบ่งเวลามาเขียนได้เพราะพลังเหลือนิดหน่อยจากการแอบงีบในรถไฟฟ้าระหว่างทางกลับบ้าน อีกไม่นานผมคงเป็นเซียนในการทำ power nap...

Thursday, January 3, 2008

ชาวเกาะ

ตอนเด็กๆผมเคยฟังเพลงเพลงหนึ่ง ผมจำคนร้องไม่ได้แล้ว แต่อารมณ์ประมาณว่า อยากไปเป็นชาวเกาะ ผมก็เลยสงสัยว่ามันจะเป็นยังไงถ้าได้ไปเป็นชาวเกาะจริงๆ มันจะอากาศดี ได้อยู่กับลมเย็นๆสบายๆตลอดวัน มีเสียงคลื่น มีนกร้อง มีผู้คนวิ่งเล่นสนุกสนานมั้ย ณ ตอนนั้น ผมก็เลยอยากไปเป็นชาวเกาะบ้าง ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องทำงานหาเงิน เพราะไม่เห็นเพลงมันพูดถึงเลยว่าจะมีวิธีหาเงินเลี้ยงตัวเองยังไง ผมเข้าใจเอาว่า เงินไม่ต้องใช้ถ้าเป็นชาวเกาะ กินมะพร้าวกินปลา คงอยู่ได้

โตมาอีกนิด เริ่มรู้จักระบบการเงิน เริ่มเห็นภาพว่า เป็นชาวเกาะจริงๆแล้วยากกว่าที่เคยคิด ต้องเริ่มคิดว่าจะหาเงินยังไง แถมอากาศก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดด้วย พอได้ไปเห็นเกาะจริงๆ ถึงจะสวยงาม แต่ผู้คนไม่ได้วิ่งเล่นสนุกสนานอย่างนั้น นกร้องก็จริง แต่พอรู้เรื่องการล่ารังนก เริ่มไม่ตลก นกมันเสียใจนะนั่นที่เอาไปลอยใส่ถ้วยน่ะ เริ่มรู้ว่า อยู่เกาะนานๆจะแสบร้อน ต้องเอาอะไรเหนียวๆทาผิวให้ไม่สบายตัวด้วย เริ่มไม่อยากเป็นชาวเกาะแล้ว

อีกหลายๆปีผ่านไป... มาวันนี้ เริ่มอยากกลับไปเป็นชาวเกาะอีกแล้ว ช่างมันเถอะเรื่องเงิน จะแสบจะร้อนบ้างก็คงไม่ตาย อาหารมีเยอะแยะ ถ้ากลัวอดตายก็ขนไปจากตัวเมืองก็ได้ ความเจริญน้อยหน่อย แต่ความวุ่นวายก็อาจจะน้อยกว่าเยอะเหมือนกัน ไม่ต้องมาสนใจอะไรที่ทำให้เราไม่สบายใจ ความสุขที่แท้จริงเหรอ ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถึงหลายคนพยายามจะบอกว่าเป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ ผมไม่รู้ แต่ผมรู้ว่า ถ้าไม่ทุกข์มันก็คือสุขแบบหนึ่งละ

วันหนึ่งผมอาจจะไปเป็นชาวเกาะจริงๆก็ได้ ใครจะรู้

Friday, December 21, 2007

หิ่งห้อยของผม

และแล้วคนเราก็อยูใน"ความฝัน"ตลอดไปไม่ได้... ไม่ช้าก็เร็ว เราก็ต้องตื่นขึ้นมาแล้วก็พบว่า"ความจริง"นั่งรอเสิร์ฟอาหารเช้าให้เราอยู่ ต่อให้เสียดาย"ความฝัน"ยังไง เราก็ต้องก้มหน้าก้มตาสู้กับมันต่อไป

วันนี้เป็นวันที่ถึงอีกจุดเปลี่ยนหนึ่ง จริงๆมันไม่ควรจะมีวันนี้เลยถ้าผมไม่เริ่มฝังตัวเองกับความฝันตั้งแต่วันแรก ผมหลอกตัวเองตลอดมาว่า"มันต้องเป็นไปได้ มันต้องทำได้" ผมหลงดีใจกับพันธนาการที่ผมวาดขึ้นมาเอง พยายามหลีกเลี่ยงความเป็นจริงๆต่างๆนานา ผมบอกกับตัวเองว่า คนอื่นเค้ามองไม่เห็นสิ่งที่ผมเห็น เค้าคงไม่เข้าใจ แล้วสุดท้ายเมื่อถึงเวลา ผมก็ต้องยอมรับว่ามันไม่มีอยู่จริงหรอกที่อะไรสักอย่างหรือใครสักคนจะเป็นได้อย่างที่เราต้องการทั้งหมด ต่อให้คนเรารักกันแค่ไหน แต่ละคนก็มีที่มาและที่ไปของตัวเอง จะจับหิ่งห้อยมาอยู่ในกล่องให้มันฉายแสงให้เราดูตลอดเวลา สุดท้ายมันก็ตาย

วันนี้ผมปล่อยให้หิ่งห้อยได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างที่มันต้องการ ได้กลับไปสู่บ้านที่มันจากมา ได้กลับไปสว่างเจิดจ้าอีกครั้ง ผมโยนกล่องนั้นทิ้งไป แล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะได้ออกไปเปิดตาเปิดใจมองสิ่งสวยงามในโลกนี้อีกครั้ง มีอะไรอีกเยอะแยะรอผมอยู่

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ ทุกสิ่งสวยงามอย่างที่มันเป็นอยู่ ยิ่งเราพยายามเปลี่ยนมันเท่าไหร่ ความเป็นตัวตนที่แท้จริงมันก็จะหายไป แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร...

ขอให้ฝูงหิ่งห้อยจงสวยงามอย่างที่มันเคยเป็นอีกครั้ง

Wednesday, December 19, 2007

เจ้าสัวธนินทร์เห่งอาณาจักร CP

หลายปีก่อนผมมีโอกาสได้อ่านเจอว่าคุณธนินทร์ เจ้าสัวผู้ก่อตั้งอาณาจักร CP มี vision ที่ไกลกว่าคนทั่วไปอยู่หลายเท่าตัว บางคนพยายามตีออกมาเป็นตัวเลขว่าน่าจะเกิน 20 ปีล่วงหน้า ผมเคยสงสัยว่าคนๆหนึ่งจะมองเห็นอนาคตอะไรได้ไกลขนาดนั้น ผมเลยมีความตั้งใจกึ่งๆความฝันว่า ถ้าวันหนึ่งผมเจอคุณธนินทร์ ผมจะถามเค้าว่า เค้ามองเห็นอะไรในอนาคตต่อจากนี้ไป และแล้ววันนั้นก็มาถึงเร็วกว่าที่ผมคิด เมื่ออยู่ดีๆ ผมก็ได้มีโอกาสเข้าพบคุณธนินทร์แบบค่อนข้างเป็นส่วนตัวกับเพื่อนๆน้องๆ MIM อีกร่วมสิบชีวิต งานนี้ต้องขอบคุณคุณณรงค์ที่เป็นลูกชายคุณธนินทร์ เพราะหลังจากที่เค้ามาเป็น guest speaker ที่ MIM แล้วเกิดความประทับใจ เค้าก็กลับไปบอก"ท่านประธาน"ว่าอยากให้พบกับนักศึกษาและอาจารย์จากที่นี่ ทุกอย่างถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณณรงค์และทีมงานติดต่อให้อย่างรวดเร็วและเอาใจใสมากๆ จนวันที่ทาง MIM โทรมาแจ้งว่าผมจะมีโอกาสได้พบกับ"ท่านประธาน" ผมยังแอบอึ้ง เพราะผมเคยขออาจารย์แอ๋ว Director ของ MIM ไว้ว่าถ้ามีโอกาสได้พบท่าน ผมขอไปด้วย แต่ไม่เคยนึกว่าจะเร็วขนาดนี้

ผมไม่แน่ใจว่าต้องเตรียมตัวยังไงเพื่อเข้าพบคุณธนินทร์ เลยพกมาแต่คำถามคาใจคำถามเดียว แล้วก็กะว่าจะไปเรียนรู้จากท่านเป็นหลัก แล้วผมก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ผมไม่เคยคิดว่าคนที่เป็นใหญ่เป็นโต ผ่านร้อนหนาวมาเยอะมากๆ ประสบการณ์เกินกว่าใครแบบนี้จะให้เกียรตืกับคนธรรมดาๆอย่างพวกเรามากๆ ระหว่างที่พูดคุยกับท่านนั้น มีหลายอย่างที่ผมได้เรียนรู้ที่จะมองแบบใหม่ ได้เห็นมุมมองที่เฉียบขาดและการให้เกียรติคนที่ท่านกำลังสนทนาอยู่ด้วย ท่านไม่เคยขัดการสนทนาใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว ท่านฟังอย่างตั้งใจจนจบ แล้วค่อยให้คำแนะนำ ผมมีโอกาสพบกับ CEO หรือผู้บริหารรุ่นใหม่ๆก่อนหน้านี้หลายท่าน ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จแค่ระดับหนึ่งแต่ความมั่นใจหรือ ego เค้านำหน้าไปสองศตวรรษได้ ไม่ให้เกียรติคนฟัง พูดจาดูถูกและไม่มีความสุภาพ ผมอยากให้คนเหล่านี้ได้มาพบท่านสักครั้งเผื่อเค้าจะรู้ตัวว่าการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จนั้นก็สามารถเป็นคนที่มีมารยาทที่ดีไปพร้อมๆกันได้เหมือนกัน

ก่อนจะจบบทสนทนา ใจนึงก็เกรงใจแต่อีกใจก็รู้ว่าถ้าผมไม่ถามตอนนี้ ผมก็ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่กว่าผมจะได้พบกับท่านอีก ผมจึงถามคำถามที่ผมเตรียมมา และท่านก็ตอบอย่างตั้งใจและเป็นกันเอง ภายหลังผมดีใจมากที่คุณเนาวรัตน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารได้เดินมาบอกกับผมว่า ผมถามคำถามที่ถือว่าเป็น excellent question และทุกครั้งที่คุณเนาวรัตน์ได้พบท่านประธาน ก็จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆตลอดเวลาเหมือนกัน ผมประทับใจกับการไปครั้งนี้มาก ภาพของ CP เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว แต่ความประทับใจยังไม่จบ...

เย็นวันเดียวกัน ผมมีโอกาสได้พบกับ Director ของ MIM อีกครั้ง ผมจึงได้รู้ว่ามีอะไรที่ดีกว่านั้นเกิดขึ้นหลังจากการพบท่านประธาน อาจารย์แอ๋วได้มีโอกาสคุยกับคุณเนาวรัตน์ต่อและคุณเนาวรัตน์เองก็บอกกับทางอาจารย์แอ๋วว่าต้องการคนไปช่วยงานในธุรกิจที่จีน อยากให้อาจารย์แนะนำนักศึกษาที่มีความสามารถให้ แล้วคุณเนาวรัตน์ก็พูดถึงชื่อผมขึ้นมาแล้วถามอาจารย์แอ๋วว่าเป็นอย่างไร อาจารย์แอ๋วเองก็เลยแจงสรรพคุณของผมไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะแจ้งว่าผมกำลังอยู่ระหว่างการสัมภาษณ์ที่ Google อยู่ คุณเนาวรัตน์จึงบอกว่าเอาเป็นว่าถ้าไม่ได้ที่ Google แล้วก็ให้ผมติดต่อไปดูละกัน โอ้.. ฟังแล้วแทบจะลอย... ไม่นึกว่าจะมีบุญพอที่จะเข้าตากรรมการ ถึงตอนนี้ ผมยังไม่รู้ว่าปีหน้าชีวิตการทำงานผมจะลงเอยอย่างไร... แต่คงจะมีอะไรดีๆรออยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน ... พลังลุกโชนแล้ว!!

สู้โว้ยยย...!!!