Sunday, August 29, 2010

Where are you going ,Garmin Asus M10E?

เมื่อวานมีโอกาสได้ไปร่วมงานแนะนำมือถือรุ่นใหม่จาก Garmin + Asus ที่บ้านไร่กาแฟเอกมัย ตอนแรกที่ได้ยินก็คิดว่าตัวโทรศัพท์คงไม่มีอะไรมาก น่าจะเน้นที่ระบบนำทาง, คุยได้, มีฟีเจอร์พื้นฐานทั่วไปเท่านั้น แต่พอได้ไปเห็นก็พบว่าตัวโทรศัพท์เองถูกออกแบบมาให้เป็นมากกว่านั้น และนั่นก็คือจุดที่น่าสนใจครับ

Garmin Asus M10E เป็นโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Mobile 6.5 และผลิตโดย 2 เจ้าที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ก็คือ Garmin ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบนำทาง และ Asus ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่พวกเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว สัมผัสแรกเรียกว่าเกินความคาดหมายผมพอสมควรเนื่องจากผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ประทับใจกับ Windows Mobile เลย เนื่องจากความช้า หน้าตาที่ไม่สวยงามและการที่เครื่องค้างบ่อยๆ แต่ M10E ถือว่าทำให้หน้าตาน่าดู ความเร็วโอเคแม้จะไม่ถึงระดับ iPhone หรือ Android และมันมาพร้อมกับแอพพลิเคชั่นที่ค่อนข้างจะเยอะจนลืมไปชั่วคราวว่ากำลังจับโทรศัพท์ที่ชูจุดขายเรื่องระบบนำทางอยู่

ตัวเครื่องขนาดพอดีมือ หน้าจอใหญ่ชัดเจน สีโอเค แต่อาจจะเป็นเพราะผมไม่คุ้นเคยกับ Windows Mobile ผมเลยรู้สึกงงๆในการใช้งานว่าต้องกดอะไรบ้าง ถ้าเป็น website ผมคงจะเรียกว่าออกแบบ sitemap แปลกๆนิดหน่อย แต่ประเด็นของผมไม่ได้อยู่ที่เรื่องตัวเครื่อง แต่อยู่ที่จุดประสงค์ของโทรศัพท์ตัวนี้มากกว่ครับ

Garmin Asus M10E ถ้าจะว่าไปแล้วตัวชื่อมัน geek ขั้นสูงทีเดียว Garmin ก็ระบบนำทางจ๋า Asus ก็เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างจะ geek และชื่อรุ่น M10E ที่ยังกระด้าง ซึ่งสวนทางกับอุปกรณ์ยุคใหม่ๆที่มีชื่อที่จำง่ายและเอาผู้บริโภคเป็นที่ตั้งมากขึ้น ดังนั้นด้วย 3 ชื่อรวมกันมันจึงกลายเป็นภาพของอุปกรณ์ที่ค่อนข้างจะเจาะกลุ่มเฉพาะพอสมควร แต่หลังจากที่ได้ฟังและเห็นตัวอย่างโฆษณากลับพบว่าเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ต้องการจะเจาะกลุ่ม mass เพราะตัวโฆษณาเป็นผู้หญิงวัยรุ่นใช้งาน social networks ซึ่งเรียกว่าขัดกับความรู้สึกพอสมควรเพราะระหว่างการ present นั้นส่วนใหญ่เพ่งไปที่เรื่องระบบนำทางซะเกือบทั้งหมด แต่พอเข้าไปดูที่เมนูของตัวเครื่องพบว่ามีแอพฯทั่วไปเต็มไปหมด ไม่ว่าจะ Facebook, Twitter, Foursquare, แช็ต คือถ้าจะเอามาเติมเต็มให้คุ้มผมว่าอันนั้นปกติ เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่การสื่อสารกับผู้บริโภคอาจจะต้อง in line มากกว่านี้ และอาจจะต้องมาดูว่าจริงๆแล้วกลุ่มเป้าหมายของ M10E เป็นใครกันแน่ เพราะส่วนตัวแล้วผมไม่แน่ใจว่าถ้าผมจะซื้อ smart phone ผมจะอยากได้ navigation system เป็นตัวนำหรือเปล่า หรือถ้าผมเป็นคนที่ต้องใช้ navigation system เป็นประจำถึงขนาดที่ต้องซื้อตัวนี้ ผมเองจะให้ความสำคัญกับ social networks ซักแค่ไหน ซึ่งมันก็กลับมาที่จุดเดิมคือจริงๆตัว M10E ถูกออกแบบมาเพื่อจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มไหนกันแน่

ผมคงจะไม่วิจารณ์มากเพราะจริงๆมันก็เป็นโทรศัพท์ที่คุณภาพโอเคตัวหนึ่งเลยทีเดียว แต่ผมแค่อยากเห็นทิศทางที่ชัดเจนของการตลาดมากกว่า ไม่งั้นโทรศัพท์นำทางตัวนี้อาจจะหลงทางซะเองก็ได้ครับ

Monday, August 23, 2010

Once in a lifetime

ไหนๆบล็อกก่อนหน้านี้ก็เล่าเรื่องตอนไปแลกเปลี่ยนที่ Australia เลยขอเล่าต่อ แต่คราวนี้จะเล่าในอีกมุม เป็นมุมของการทำอะไรแปลกๆที่ไม่เคยทำมาก่อนตอนอยู่เมืองไทยครับ แต่เนื่องจากมันมีหลายอย่างมาก ผมขอเลือกมาเล่าแค่ 9 อย่างละกันครับ :)
  1. สิ่งแรกที่ทำเลยก็คือการเลือกวิชาเรียน ผมใฝ่ฝันมานานแล้วว่าอยากเรียนอะไรที่ไม่มีโอกาสได้เรียนที่เมืองไทยบ้าง พอวันแรกที่ไปถึงโรงเรียนผมมองหาอะไรที่แปลกที่สุดก่อน แล้วผมก็เจอมันเข้าให้... วิชา Drama ครับ ใช่ วิชาการแสดง! นี่แหละ สิ่งที่อยากลอง บุคลิกทื่อๆแบบเรานี่แหละน่าจะตรงข้ามกับ Drama แบบพอดีๆ จะได้ฉีกความเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ และแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ มันเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคุ้นเคยอย่างสุดๆจริงๆ จากที่ทุกอย่างคือกฎ สมการ สูตร วันนี้มันคืออารมณ์ ความลื่นไหล ความสมจริง ผมเข้าเรียนและได้อยู่ในทีมที่จะต้องเล่นละครกรีกเรื่อง Oedipus Rex ผมต้องเรียนรู้เยอะกว่าชาวบ้านเพราะไหนจะภาษา ไหนจะพื้นความรู้เกี่ยวกับนิยายกรีก ไหนจะทักษะการวางท่าทางที่ไม่มีเลย ใครจะไปคิดว่าการออกแบบตัวละครที่เราจะเล่นมันต้องดูกันละเอียดขนาดนั้น ผมต้องเรียนรู้ว่าถ้าเราจะแสดงเป็นตัวอะไร มันต้องดูกระทั่งท่าเดิน มุมการเงยหน้า การแกว่งแขน ความเร็วในการพูด ฯลฯ เพราะพวกนี้มันคือการสื่อสารด้วยท่าทางทั้งหมดและมันคือส่วนที่จะทำให้ตัวละครดูสมจริง การเข้าเรียน Drama ทำให้ความแข็งทื่อของผมลดลงระดับหนึ่งเลยทีเดียว (ผมคิดเอาเองนะ) และมันก็จับพลัดจับผลูจริงๆ ทีมที่ผมอยู่สามารถเข้าไปแข่งขัน Greek Play ของรัฐ New South Wales และได้ที่ 4 ของรัฐมาซะงั้น :D
  2. การเดิน... ฟังดูไม่น่ามีอะไรแปลก แต่มันแตกต่างจากตอนอยู่เมืองไทยก็ตรงที่ผมต้องเดินไป-กลับทุกวันวันละ 7 กม.นี่แหละครับ อย่างที่เขียนไปคราวก่อนว่าบ้านอยู่ลึกมากกกก ดังนั้นผมและเด็กๆในบ้านต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งทุกวันเพื่อออกเดินจากบ้านไปขึ้นรถโรงเรียน ซึ่งระยะทางที่เดินก็ 3.5 กม.ถ้วนครับ และแน่นอนว่าตอนกลับจากโรงเรียนก็ต้องเดินระยะทางเท่ากัน สรุปเป็น 7 กม... ตามทันนะครับ :D และการเดินระยะทางขนาดนี้เอง มันเป็นการฝึกความใจเย็นและความอดทนของผมซึ่งผมรู้สึกว่ามันมีประโยชน์ต่อชีวิตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนั้นเวลาที่ต้องเดินเยอะๆผมไม่รู้สึกว่ามันจะลำบากอะไรมากมาย แถมมันก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีซะด้วย
  3. ระหว่างที่ไปเรียนที่นั่น ผมกลายเป็นเด็กที่เก่งคณิตศาสตร์ที่สุดในห้องไปโดยปริยาย ทั้งๆที่ตอนอยู่เมืองไทยไม่เคยติด Top 10 เลย เวลาสอบที่โน่นเต็ม 100 เป็นว่าเล่น นั่นเป็นเพราะว่าหลักสูตรบ้านเราโหดกว่าเยอะเลยครับ ทั้งเรียนที่โรงเรียน ทั้งเรียนพิเศษ ไหนจะการบ้านอีก ใครมาเจอการเรียนแบบบ้านเราแล้วไปเจอแบบที่ผมเจอก็ top ได้ทั้งนั้นแหละครับ และด้วยความที่ได้คะแนนโดดเด่นขนาดนั้น มันก็เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกส่งไปแข่งขันคณิตศาสตร์ และผลลัพธ์ก็ออกมาเท่ห์อีกแล้ว ได้คะแนน Top 2% ของรัฐ คราวนี้ผู้อำนวยการโรงเรียนเรียกให้ไปโชว์ตัวต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนเลย วันนั้นรู้สึกตัวเองหล่อมาก :D ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนเยอะยังนึกอยู่เลยว่า "เอาวะ เก็บเกี่ยวความภูมิใจให้เต็มที่ กลับไปก็ไม่มีแล้วโอกาสแบบนี้" T.T
  4. แต่งตัวประมาณพวก cosplay ในวัน Halloween... ปกติผมไม่ชอบหรอกครับ แต่งตัวโน่นนี่ จะบ้ารึไง แต่ไหนๆก็อยู่ต่างแดนแล้ว บ้าให้เต็มที่ วันนั้นเลยรวมกับเพื่อนกลุ่มที่สนิทแต่งตัวเป็น The Addams Family ซะเลย โดยผมแต่งเป็น Gomez แล้วพวกเราก็ทำตัวบ้ากันให้เต็มที่ตลอดทั้งวัน ถึงตอนนี้จำไม่ได้แล้วด้วยว่าวันนั้นได้เรียนอะไรไปบ้างหรือเปล่า ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการศึกษาเหลืออยู่เลย แต่ความไม่ธรรมดาก็มาเยือนอีกเมื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมาขอถ่ายรูปกลุ่มเราลงหนังสือพิมพ์ เสียดายที่ผมทำมันหายไปแล้ว แต่จำได้ว่าวันนั้น family ผมซื้อมาอย่างน้อยๆก็ 5 ฉบับได้ ขี้เห่อเหมือนกันนะเนี่ย...
  5. Surf and drown... มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทั้ง family ไปเที่ยวต่างเมือง ไปอยู่บ้านพักติดหาดที่สวยมากๆ ผมจำได้ว่าเป็นทางที่จะตรงไป Canberra แต่จำชื่อเมืองไม่ได้แล้ว บ้านพักค่อนข้างเป็นส่วนตัวและคลื่นค่อนข้างแรง ต่อมอยากลองผมก็ทำงานอีกครั้ง ผมอยากลองเล่น surf ดูทั้งๆที่ว่ายน้ำก็ไม่เป็น (น่าอายจริงๆ) ผมก็เลยเริ่มจากอะไรง่ายๆ เป็นบอร์ดสำหรับนอนแล้วให้งอขาขึ้น พอคลื่นมาคลื่นมันก็จะดันขาเราให้เคลื่อนไปตามกระแสน้ำ โอ้โห ขอบอกว่ามันมากๆครับ! นี่ขนาดเว่าเป็นการ surf แบบเด็กอ่อนหัดมันยังสนุกขนาดนี้ ถ้าของจริงมันคงต้องเจ๋งมากๆแน่ๆ พอสักพักผมก็เริ่มเหนื่อย เลยคิดว่าจะไปเล่นน้ำเฉยๆก็พอ แต่แล้วความไม่ธรรมดาก็มาหาอีก ผมโดนสิ่งที่เรียกว่า Riptide จัดการ มันคือกรณีที่คลื่นลูกใหม่พัดเข้ามาและพยายามดันเราเข้าฝั่ง แต่ในขณะเดียวกันคลื่นลูกเก่าก้พยายามลากเราลอยลงไปในทะเล พอ 2 ลูกมาเจอกัน มันผลักให้หัวผมทิ่มไปข้างหน้าและดึงขาผมให้ถอยกลับไปในทะเล ผมจมทันที ไม่ว่าจะพยายามถีบตัวเข้าฝั่งเท่าไหร่มันก็เหมือนจะไม่ไปไหนเลย จนน้องคนหนึ่งเห็นต้องรีบวิ่งมาช่วย แต่ความซวยบังเกิด มันดันมาจมเป็นเพื่อนผม! เราทั้งถีบทั้งเหวี่ยงแขนกระจัดกระจายกว่าที่จะหลุดออกมาได้ จำได้ว่านอนนิ่งๆเพื่อสงบสติอารมณ์ไม่น่าจะต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงครับ
  6. Bikini party... หึๆ อยากอ่านเรื่องนี้กันล่ะสิ ไม่เล่าครับ :P ถึงจะไม่เท่า Baywatch แต่มันก็โอเคเลยล่ะ ฮ่าๆ
  7. Bungee Jumping อันนี้เป็นความสนุก ความประทับใจ ความสะใจ ความตื่นเต้นที่ปนกันอย่างแยกไม่ค่อยออก การโดดบันจี้เป็นความสุดโต่งหนึ่งที่อยากทำมานานแล้ว เห็นในทีวีก็รู้สึกว่ามันบ้าดี พอมาเล่นจริงๆ เออ... บ้าจริงๆด้วย หลายๆคนที่ไม่เคยเล่นคงคิดว่าความน่ากลัวคือการโดดให้ตัวเองร่วงลงมา แต่จริงๆแล้วเปล่าเลยครับ อันนั้นมันแค่จุดเริ่มต้น ความน่ากลัวจริงๆคือตอนที่มันดีดกลับครับ คือทุกคนจะเตรียมใจสำหรับการร่วง แต่น้อยคนที่จะเตรียมใจเผื่อสำหรับตอนที่เราดีดกลับ ไม่ค่อยมีใครคิดว่ามันจะรู้สึกยังไงที่เห็นโลกทั้งใบค่อยๆห่างจากเราออกไป ผมจำได้แม่นว่าสัญชาติญาณสั่งให้ความพยายามคว้าอะไรไว้สักอย่าง มันเลยเหมือนคนบ้าที่พยายามจะคว้าน้ำทะเลข้างล่างไว้ไม่ให้ห่างออกไป สมเพชตัวเองจริงๆ ฮ่าๆ
  8. นอนในหลุมกลางทะเลทราย... อันนี้เล่าไปในบล็อกก่อนหน้านี้ รบกวนไปอ่านอันนั้นนะครับ :)
  9. ปีนหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าใครเคยเห็นรูปประเทศออสเตรเลียจะเห็นว่ามีรูปภูเขาลูกหนึ่งอยู่เสมอ มันเรียกว่า Ayer's Rock หรือ Uluru ในภาษาชาว Aborigines ครับ นั่นแหละครับที่พวกผมไปปีนกันมา เราปีน Uluru ไปจนถึงยอดที่ลมแรงมากๆ เราสามารถปลิวหลุดออกจากเขาลูกนี้ได้ทุกขณะ แต่ความเสี่ยงและความตื่นเต้นนี่เองมันทำให้เราสนุกและหยุดไม่ได้จนกว่าจะถึงยอด และมันก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจจริงๆที่เราไปถึงยอดของมันได้
และนี่ก็คือความสนุกที่แปลกใหม่ 9 อย่างของผม มันยังมีอีกมากมายเลยที่ทำให้ 1 ปีนั้นเป็นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งในชีวิต แต่หลายๆอย่างคงไม่สามารถออกอากาศได้ ใครอยากรู้มาถามได้นะครับถ้ามีโอกาสได้เจอกันครั้งหน้า แล้วคุณมีความทรงจำอะไรที่แปลกๆแต่น่าจดจำบ้าง มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ :)

Saturday, August 21, 2010

Life on the hill

ในปี 2540 ก่อนที่ใครจะรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนประเทศเราไปอย่างมากมาย ผมเองในตอนนั้นยังอยู่ม.5 เป็นเด็กต่างจังหวัดที่กำลังเตรียมตัวบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาประสบการณ์ใหม่ภายใต้โครงการที่ฟังดูดีที่คนทั่วไปรู้จักว่า "โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS" โดยผมเลือกปลายทางไว้ที่นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศที่คนทั้งโลกเรียกว่า Down Under ประเทศที่มีสัตว์น่ารักๆอย่างจิงโจ้ วอมแบต และแทสเมเนี่ยนเดวิล...

ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับการยืนยันเรื่อง host family ช้ามาก ทั้งบ้านผมร้อนใจมากเมื่อถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อนเดินทาง ทุกคนเป็นห่วงว่าผมจะไปอยู่ยังไงเป็นปีโดยที่ไม่มีครอบครัวที่โน่นรับไปเลี้ยงดู ผมเองกลับไม่ได้ห่วงเรื่องนี้เลย รู้แต่ว่าตื่นเต้น อยากออกไปดูโลกใหม่ อยากไปเจอฝรั่ง อยากไปฝึกภาษา อยากไปใช้ชีวิตอิสระด้วยตัวเอง อยากโน่นอยากนี่ ไม่รู้หรอกว่ามันลำบากมากยังไงถ้าไม่มีใครรับไปเลี้ยง จนกระทั่งวันก่อนบิน ผมถึงได้ซองจากเจ้าหน้าที่ AFS บอกว่าผมได้ครอบครัวแล้ว ได้แบบนาทีสุดท้าย เป็นชาว Irish ที่ย้ายมาตั้งรกรากที่ออสเตรเลีย 13 ปีก่อน สำหรับผมแล้ว ณ จุดนั้นอะไรก็ตื่นเต้นหมด ต่อให้เป็นชาวดาวนาเม็กผมก็คงไม่เกี่ยงแล้วล่ะ :D

และแล้วผมก็ได้ขึ้นเครื่องข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ดินแดนใหม่ที่รอคอยเสียที มันตื่นเต้นมากๆ เป็นครั้งแรกที่ไปต่างประเทศด้วยตัวเองและไม่มีครอบครัวไปด้วย ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ดีเลิศเลออะไร ถึงจะเคยติดท็อปตอนสอบภาษาอังกฤษบ้าง แต่อย่างที่ทุกคนรู้ เด็กไทยเก่ง grammar แต่สนทนาจริงบัดซบ (ถ้าแรงไปขอโทษนะครับ) คราวนี้เอาแล้วเว้ย พก grammar มาลุยกับเจ้าของภาษาซะที ยังไงเกมนี้ก็ต้องชนะ หนีกลับบ้านก่อนไม่ได้อยู่แล้ว

วันแรกที่ได้เจอหน้า host family ผมออกแนวมึนเล็กน้อย คือทุกอย่างมันดูใหม่และแปลกไปหมด อยู่ๆผมต้องเรียกใครไม่รู้ว่า dad แล้วไหนจะน้องอีก 4 คน เจอ dad ครั้งแรกตื่นเต้นใช้ได้ shake hand เสร็จแล้วยื่นมือไป shake hand ใหม่ บ้าชัดๆ ฮ่าๆๆ แล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่บ้านใหม่ บ้านที่จะต้องอยู่อีก 1 ปีเต็ม แล้วผมก็นั่งเบียดกับน้องๆผ่านทิวทัศน์บ้านช่องที่ดูดี อากาศกำลังดี ดูไปเรื่อยๆ พอออกนอกเมืองไปสักพักก็เริ่มเห็นต้นไม้มากขึ้น บ้านเรือนเริ่มน้อยลง แล้วต้นไม้ก็มากขึ้น แล้วบ้านเรือนก็น้อยลง แล้วต้นไม้ก็มากขึ้น แล้วบ้านเรือนก็หายไป... นี่กูกำลังจะไปไหนเนี่ย??

ผมจำไม่ได้ว่านั่งในความเงียบในรถคันเล็กๆนั้นนานเท่าไหร่ แต่ที่ผมรู้ มันเหมือนกับนั่งข้ามศตวรรษกันเลยทีเดียว ยังนั่งสงสัยกับตัวเองว่า แล้วถ้าจะออกไปไหนทีผมต้องทำยังไงเนี่ย เอ๊ะ หรือข้างในนี้มีเมืองอยู่ ยังแอบลุ้นแบบลมๆแล้งๆ จนในที่สุดรถก็มาจอดที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านชั้นเดียวแบบฝรั่งที่เคยเห็นในหนัง มันอยู่บนยอดเนินเตี้ยๆแบบโดดเด่นมาก เป็นบ้านที่ทุกอย่างที่อยู่รอบๆมีอย่างเดียวคือ...ป่า!! ผมลงจากรถแล้วก็ได้สูดอากาศที่แสนดีเข้าไปเต็มๆ ผมหันดูรอบทิศ ใจนึงแอบกลัว อีกใจผมตกหลุมรักกับสถานที่นี้ทันที ผมอยู่บนยอดเขาที่มีบ้านเพียงหลังเดียว มองลงไปข้างล่างไกลๆมีคลองเล็กๆอยู่ มันคือธรรมชาติที่เหมือนในนิยายเลยแฮะ... แล้วความเป็นวิทยาศาสตร์ของผมก็กลับมาอีกครั้ง... ไหนล่ะ เสาไฟฟ้า? ไหน? ทางไหน? มันไม่มีเสาไฟฟ้า!! ชิบหายละ

หลังจากนั้นสักครู่ผมก็ได้รับการแนะนำตัวกับคนในครอบครัวอย่างเป็นทางการ เป็นครอบครัวที่น่ารักดี ผมรู้ตัวว่าผมจะเข้ากับครอบครัวนี้ได้สบายๆ แต่สิ่งที่ผมยังทำใจไม่ได้ก็คือ ตอนที่นั่งคุยกันนั้นเป็นเวลาค่ำๆแล้ว มีไฟเปิดอยู่แค่นิดหน่อย ผมก็สงสัย เลยถามว่าเรื่องไฟฟ้านี่ยังไง ผมถึงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงจริงๆ และไม่พอ น้ำประปาก็เข้าไม่ถึงด้วย ดังนั้นทุกอย่างที่ใช้อยู่จึงเป็นไฟจากแบตเตอรี่และน้ำฝน! อืมมม ผมคงต้องปรับตัวครั้งใหญ่จริงๆ เรื่องไฟไม่เท่าไหร่แต่เรื่องน้ำนี่ผมเดือดร้อน ผมชอบอาบน้ำ ปกติก็คือบางทีอาบเสร็จแล้วแต่ก็ยังชอบให้น้ำไหลผ่านตัวไปเรื่อยๆ มันสบายดี คราวนี้มีน้ำจำกัดจะทำยังไง ถ้าไม่ได้อาบน้ำจะอยู่ยังไง เฮือกก..

ในอาทิตย์แรกผมก็ได้เรียนรู้ทันทีว่า ไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านนั้นมีที่มาอยู่ 2 แหล่ง นั่นก็คือจากแผง solar cell ที่ตั้งอยู่ข้างๆบ้าน ตัวแผงถูกวางเรียงกันและต่อสายไฟเข้ากับตู้แบตเตอรี่ข้างๆ ถ้าวันไหนแดดดี เราก็จะเห็นของเหลวในแบตเดือดปุดๆ แล้วนั่นก็หมายความว่าเราสามารถที่จะดูทีวีถึง 5 ทุ่มได้ แต่ถ้าวันไหนฟ้าปิด แดดน้อย เราก็อาจจะต้องเข้านอนกันตั้งแต่ 3 ทุ่ม มันคือวงจรการใช้ชีวิตที่ขึ้นอยู่กับพระอาทิตย์จริงๆ แต่ก็ไม่แย่เกินไปนัก เพราะเรายังมีแหล่งพลังงานที่ 2 อยู่ นั่นก็คือเครื่องปั่นไฟ ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงเครื่องยนต์ที่พอเติมน้ำมัน ดึงสายแรงๆทีนึงเครื่องก็จะติด นั่นล่ะครับ พลังงานที่ได้ก็จะต่อเข้าไปที่ระบบไฟฟ้าในบ้านเหมือนกัน แต่วิธีนี้มันต้องใช้น้ำมัน ซึ่งมีราคา เสียงดัง และมีควันเสีย เราจึงจะใช้เครื่องปั่นไฟเมื่อตอนที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เช่น ซักผ้า หรือวันที่แบตฯอ่อนแต่ต้องใช้ไมโครเวฟ เป็นต้น

ผมค้นพบว่า จริงๆแล้วมนุษย์เรามีความสามารถในการปรับตัวได้สูงกว่าที่เราคิด หลังจากผ่านไปแค่สองสามอาทิตย์ ผมก็เริ่มคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบนี้ ผมสามารถที่จะเข้านอนสามทุ่มได้ ซึ่งจริงๆแล้วต้องบอกว่ามันมีความสุขด้วย อย่างแรก พอไฟดับหมดแล้ว เราจะได้ยินเสียงลม เห็นต้นไม้ลางๆผ่านหน้าต่าง เห็นดาว หรือถ้าวันไหนฟลุ้คๆ ผมก็จะเห็นจิงโจ้กระโดดไปมาในลานหน้าบ้านด้วย นี่มันคือธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว หลายๆครั้งผมมีโอกาสได้นั่งดูต้นไม้ไหว ดูดาว แล้วก็นั่งปล่อยความคิดมันไหลไปเรื่อยๆ หลายครั้งผมคิดถึงครอบครัวจนแทบจะร้องไห้ แต่ผมก็รู้ว่านี่แหละ เป็นการมาฝึกตัวเองที่มีค่ามากเกินกว่าจะมานั่งร้องไห้หาพ่อแม่ ผมไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว ผมจะไม่ยอมแพ้จนกว่าผมจะบรรลุสิ่งที่ผมต้องการ และสิ่งแรกที่ผมต้องบรรลุก็คือ การอยู่ที่นี่ให้รอดให้ได้

หลังจากที่ผมเริ่มปรับตัวกับเรื่องไฟฟ้าได้ ผมก็พบว่าผมเริ่มปรับตัวกับการใช้น้ำได้เหมือนกัน ที่บ้านนี้มีแทงค์น้ำขนาดใหญ่อยู่ข้างๆตัวบ้าน พวกเรามีหน้าที่ในการตรวจดูระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะมีน้ำสำหรับดื่มและอาบได้อีกแค่ไหน ผมเองไม่เคยรู้สึกต้องการให้มีฝนตกมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ผมเองเป็นคนไม่ชอบฤดูฝน ไม่ชอบให้เสื้อผ้าเปียก ไม่ชอบการติดแหงกออกไปไหนไม่ได้ แต่การมาอยู่ที่นี่ทำให้ผมมีความสุขได้เวลาที่ฝนมาเยือน เพราะนั่นหมายถึงว่าเราสามารถที่จะอาบน้ำได้อย่างเต็มที่ถ้าหากว่าฝนยังตกอยู่ มันคือความสุขเล็กๆแต่มีความหมาย

หลังจากผ่านไปได้ราวๆครึ่งปีผมลองหันมามองดูความเปลี่ยนแปลงของตัวเองแล้วก็พบว่าพฤติกรรมของผมได้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว ผมไม่เปิดไฟฟุ่มเฟือย ผมอาบน้ำเร็วขึ้นเยอะ และเวลาที่ผมไปไหนก็ตามผมจะเปิดก๊อกเท่าที่จะเป็นจริงๆ มีหลายครั้งที่ไปบ้านเพื่อนแล้วพบว่าตัวเองไล่ปิดไฟในห้องที่ไม่มีใครอยู่ มีครั้งหนึ่งเจ้าของบ้านเดิมมาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ฮ่าๆๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมทำในสิ่งที่ควรทำ และผมภูมิใจที่ได้นิสัยใหม่นี้มา

จนกระทั่งกลับมาเมืองไทยที่บ้านก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่าผมมีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าและน้ำเปลี่ยนไป ผมเองพยายามจะรณรงค์ให้เพื่อนๆทำบ้าง แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่า บางอย่างถ้าเราไม่ไปเจอสถานการณ์ด้วยตัวเอง จะพูดยังไงใครก็ไม่เห็นคุณค่าของมันหรอก และผมก็ยอมรับตรงๆว่าเมื่อเวลาผ่านไป 13 ปี แม้จิตสำนึกผมจะยังอยู่ แต่ความกระตือรือล้นผมน้อยลงไปเยอะ ทุกวันนี้ผมเปิดแอร์นอนตอนกลางคืน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมยังอยากจะแก้ ผมไม่ยอมถอดปลั๊กทีวีแต่ปิดจากรีโมทแทน เรื่องนี้ผมก็จะแก้ และการมานั่งเขียนบล็อกนี้มันทำให้ผมรู้สึกมีความกระตือรือล้นนั้นกลับมาอีกครั้ง

ผมคงจะยังไม่ขอให้คนที่เข้ามาอ่านให้หันมาร่วมมือกับผมในการรณรงค์ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ตัวผมเองยังทำได้ไม่ดีพอเลย แต่ถ้าบังเอิญว่าสิ่งที่ผมเขียนมันจะช่วยให้คุณรู้สึกอะไรบ้าง ผมคงจะดีใจมากๆ ผมอยากบอกว่าโลกเรามันจะตายแล้วจริงๆนะครับ ตอนนี้มันโคม่าแล้ว คนที่จะแก้ได้มีแค่ 2 คน ก็คือคุณกับผม ผมสัญญาว่าผมจะเริ่มจริงจังกับการดูแลอะไรที่ผมทำได้ให้เหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง ถ้าคุณจะมาร่วมด้วย มันก็คงจะดีไม่น้อยนะครับ :)



Thursday, August 19, 2010

Chrom OS or Android Tablet?

วันนี้เห็นมีข่าวออกมาจากหลายแหล่งเรื่องที่ Google อาจจะปล่อย tablet ที่ใช้ Chrome OS ออกมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับผมแล้วข่าวนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผมรอมันมาหลายเดือนมากๆ!

(Image from www.slashgear.com)

ถึงตอนนี้จะไม่มีใครบอกได้ว่าสุดท้ายแล้ว Google จะเอายังไงกันแน่กับ tablet ไหนจะ Android ที่เพิ่งจะเปิดตัวมาได้ไม่กี่รุ่น และยังมีที่จ่อคิววางจำหน่ายอีกเพียบ กับ Chrome OS ที่ทั้งปล่อยข่าวและปล่อยให้ลองอย่างไม่เป็นทางการมาได้หลายเดือนแล้ว และไหนจะข่าวที่บอกว่าสุดท้ายแล้ว 2 OS นี้จะมารวมกันกลายเป็น Super OS อีก เอาเป็นว่าผมยังไม่รีบตัดสินใดๆทั้งสิ้น ได้แต่ติดตาม เฝ้ารอ และเอาใจช่วยไปเรื่อยๆก่อน

ในขณะที่ยังไม่มีอะไรแน่นอนนี้ ผมมีโอกาสได้สัมผัส Android tablet มาหลายตัวทีเดียว แม้จะยังไม่มีตัวใดที่เรียกได้ว่าโดนใจสุดๆ แต่ตัวที่กำลังจ่อคิวจะวางจำหน่ายก็ทำให้ผมติดตามและอยากจะซื้อมาใช้สักตัว ด้วยความที่คุ้นเคยกับ Android ค่อนข้างดีอยู่แล้ว และพอจะเห็นว่าจะมีอะไรตามออกมาในอนาคตอันใกล้ ทำให้ Android tablet เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า iPad เยอะในความคิดของผม จริงๆแล้วถ้าไม่มี Chrome OS มาเป็นตัวดึงความสนใจ ผมมั่นใจว่าผมได้เสียเงินซื้อ Android tablet มาใช้งานแน่นอน

แต่หลังจากที่ Google เปิดตัว Chromium Project เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา มันทำให้ผมพยายามเสาะหามาลอง แล้วผมก็ได้ลองจริงๆ... แม้จะเป็นการใช้งานโดยเรียกผ่าน USB และยังไม่มีอะไรสมบูรณ์เลยแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ"อนาคต"ที่น่าสนใจมากๆ ซึ่งในการใช้งานครั้งนั้น สิ่งที่เห็นก็คือ บริการทุกอย่างของ Google ที่มันค่อนข้างจะครอบคลุมความต้องการของผมแล้ว ไม่ว่าจะเป็น mail, documents, calendar, social networks, storage, photo editing, etc.. และแน่นอนว่าทุกอย่างจะทำงานเชื่อมโยงกับ cloud ตามสไตล์ของ Google ซึ่งส่วนตัวแล้วผมก็เชื่อว่าในระยะยาวแล้ว cloud และ open source คือคำตอบที่ดีแน่นอน

สิ่งที่ผมประทับใจก็คือการที่ตัว Chrome OS มัน"เบา"มาก มันสามารถบู๊ตได้เรียบร้อยพร้อมใช้งานได้ภายในไม่กี่วินาที ซึ่งเมื่อเทียบกับ Android แล้วใช้ร่วมๆนาที หรือการที่ตัว Android นั้นเน้นการใช้งานบริการต่างๆผ่าน application ที่ต้อง install ลงบนเครื่อง ในขณะที่ Chrome OS ใช้ web apps เกือบทั้งหมด ในมุมมองของผมมันคือความยืดหยุ่นที่แตกต่างกันพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดทบริการต่างๆ การแก้ไขบั๊ก การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ หรือรวมไปถึงการใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ ผมไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว Chrome OS จะได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและผู้บริโภคแค่ไหน แต่อย่างที่บอกตอนต้นครับว่า"อนาคต"ของมันดูดีทีเดียว

ทีนี้ในข่าวเดียวกันก็บอกว่า Google จะเลือก HTC มาเป็นผู้ผลิต Chrome tablet ตัวแรก ผมไม่แปลกใจนักที่ความร่วมมือจะมาจบที่ Google + HTC ในเมื่อ Android ก็เปิดตัวด้วย HTC และก็ยังตามมาด้วย Nexus One ที่แม้จะไม่ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลาย แต่ก็เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ Android และ HTC ก็ทำหน้าที่ในการผลิต device ที่ค่อนข้างดีได้อย่างต่อเนื่องและเป็น partner ที่ดีกับ Google เสมอมา การทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องน่าจะทำให้ HTC และ Google เข้าใจวิธีและสไตล์การทำงานของกันได้เป็นอย่างดี และความเข้าใจตรงนี้น่าจะเป็นตัวช่วยให้ความร่วมมือใหม่ๆเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าหาเปลี่ยนผู้ผลิตที่ต้องมาเริ่มกันใหม่ และต้องมาลุ้นว่าจะทำได้ดีหรือไม่ ดังนั้นผมว่า ณ จุดนี้ HTC เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจะลงตัว และในทางกลับกัน HTC ก็ต้องการดีลนี้เพื่อสร้างจุดแข็งใหม่ให้กับตัวเอง เนื่องจาก Android tablet นั้น เจ้าอื่นๆก็นำไปเสียแล้ว และยังไม่มีข่าวอย่างชัดเจนออกมาเลยว่า HTC จะเอายังไง ดังนั้นแทนที่ HTC จะกระโดดลงไปแข่งในตลาดนั้น หากมาเปิดตลาดใหม่ด้วย Chrome tablet น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่าด้วย

ด้วยความเป็น HTC นั้น ผมว่าประสบการณ์ในการทำ Android phones ถือว่าทำได้ดีถึงดีมาก ทั้งการผลิตตัวเครื่องที่คุณภาพค่อนข้างดี การเลือกใช้วัสดุ การประกอบ การออกแบบ User Interface ของตัวเอง การดูแลเรื่องของ inventory management ฯลฯ ซึ่งแม้ HTC จะไม่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าที่โดดเด่นเป็นของตัวเองอย่างที่ Samsung มี AMOLED, Super AMOLED หรือการที่ Sony+Samsung มี SLCD แต่ HTC ก็สามารถผันตัวเป็น partner ที่ดีกับ 2 เจ้านี้ได้ทั้งๆที่ในอีกบทบาทหนึ่งแล้วก็คือคู่แข่งตัวฉกาจด้วยเช่นกัน และแม้ HTC จะยังไม่มีความโดดเด่นเรื่องการจัดการกับแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอุปกรณ์พกพา แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่า HTC จะเรียนรู้และพัฒนาทั้งทางการจัดการกับเทคโนโลยี และการหา partner ที่จะมาปรับแก้ในจุดอ่อนเหล่านี้ได้ ดังนั้นเรื่องความเหมาะสมของ Google + HTC = Chrome OS tablet ผมถือว่าลงตัวแบบพอดีๆ

สุดท้ายแล้ว สำหรับผม ณ ตอนนี้ ผมให้คะแนนใจเทไปยัง Chrome OS มากกว่า Android และหวังว่า Google + HTC(?) จะไม่ทำให้ผมผิดหวังนะครับ :)

Sunday, August 15, 2010

อ่างขาง

วันนี้อยากจะเขียนอะไรสักหน่อย เป็นความรู้สึกดีๆที่เกี่ยวกับสถานที่ที่โปรดปรานมากที่สุดแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ "อ่างขาง"...

สำหรับหลายๆคนอาจจะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าอ่างขางคือที่ไหน "อ่างขาง"เป็นดอยที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ถ้าเดินทางแบบที่ผมไปทุกปีตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ก็เริ่มจากการขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง รถนอนจะออกเดินทางประมาณ 6 โมงเย็น กว่าจะไปถึงก็ประมาณ 7 โมงเช้า จากนั้นก็แล้วแต่ว่าใครจะเดินทางต่อไปอย่างไร แต่โชคดีที่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาผมไปกับโครงการ MIM ของธรรมศาสตร์ทุกครั้ง มีรถตู้มารับและเพื่อนร่วมทางที่แสนดีจำนวนมากมาย จึงเป็นการเดินทางที่สนุกมากๆ

หลังจากที่นั่งในรถตู้กว่า 3 ชั่วโมงเราก็จะมาถึงบนโครงการหลวงดอยอ่างขางราวๆ 11 โมง ก็จะเป็นมื้อเที่ยงพอดี สิ่งแรกที่สัมผัสก็คืออากาศที่เย็นสบายและความรู้สึกที่ปลอดโปร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าให้เวอร์ๆไว้หน่อย ผมก็อยากที่จะสูดอากาศบนนั้นแล้วเก็บเอามาใช้หายใจต่อที่กรุงเทพเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ

โครงการหลวงดอยอ่างขางเกิดขึ้นจากพระราชดำริของในหลวง หลังจากที่ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนเมื่อหลายสิบปีก่อน ในตอนนั้นพื้นที่บริเวณนี้ทั้งแห้งแล้ง อันตราย และเต็มไปด้วยภัยเนื่องจากเป็นรอยต่อระหว่างไทยกับพม่า ใครที่อยู่แถบนี้ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ อาชีพหลักของชาวเขาในยุคนั้นก็คือการปลูกฝิ่น

จนกระทั่งวันที่"พ่อ"ได้มาเห็นเข้า จึงได้เริ่มจากการทำความเข้าใจถึงปัญหาของคนในท้องถิ่น และเริ่มให้หน่วยงานต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ ในตอนแรกนั้นหน่วยงานต่างๆและเจ้าหน้าที่พบปัญหามากมาย ทั้งเรื่องของความเข้าใจที่ผิดและการต่อต้านจากกลุ่มอำนาจท้องถิ่น การไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของชาวเขา ความหวาดกลัวต่ออิทธิพลมืด ฯลฯ ซึ่งโครงการต่างๆที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้เกิดจากความอดทนอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ปีแล้วปีเล่า และความตั้งใจดีที่จะเห็นชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น จนกระทั่งคนในท้องถิ่นเริ่มให้การยอมรับและปรับตัว

ทุกวันนี้ชาวเขาได้เปลี่ยนอาชีพจากการปลูกฝิ่นมาเป็นการปลูกพืชปลอดสารพิษ โดยมีโครงการหลวงเป็นผู้รับซื้อและจัดจำหน่าย ทำให้เกิดรายได้กลับมาสู่ชาวเขาและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมอ่างขางจะพบว่าพื้นที่ในโครงการหลวงเต็มไปด้วยพืชผักนานาชนิด ตั้งแต่ผักกาดยันกีวี และความสดอร่อยแทบจะไม่ต้องอาศัยการบรรยายใดๆเลย มันให้ความรู้สึกที่นอกจากอร่อยแล้วยังอิ่มเอิบด้วย

สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดนอกจากความบริสุทธิ์ของคนในท้องที่ อากาศที่ดี และน้ำใจอันงามของเจ้าหน้าที่แล้ว ผมยังมีอีกความประทับใจที่ทำให้ผมน้ำตาไหลทุกครั้งที่ไป นั่นก็คือเรื่องของ"ครูเรียม"

ครูเรียมเป็นผู้หญิงวัยห้าสิบกว่าๆที่ดูภายนอกก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไปตรงไหน แต่ความโชคดีทำให้ผมได้มีโอกาสรับฟังเรื่องราวจากคุณครูท่านนี้และพบว่าจริงๆแล้วครูเรียมไม่ใช่ครูธรรมดา แต่ท่านเป็นคุณครูที่ใช้ชีวิตเพื่อนักเรียนตัวน้อยๆด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์จริงๆ

ครูเรียมเดิมทีเป็นคนกรุงเทพ บ้านอยู่แถวๆหัวลำโพง เมื่อเรียนจบราชภัฏครูเรียมก็มีโอกาสได้เดินทางไปกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งเพื่อเป็นครูอาสา วันที่ครูเรียมไปถึงนั้นก็ได้พบกับความล้าหลังและภัยเต็มรูปแบบ ทั้งการรบที่ยังไม่สงบตลอดพื้นที่ พื้นที่ที่ยังไม่พัฒนาถึงขนาดที่ห้องเรียนยังเป็นห้องพังๆขนาดเล็กๆ และคนทั่วไปยังไม่รู้เลยว่าอนาคตจะออกหัวหรือก้อยในพื้นที่ที่ตัวเองอยู่

แต่แล้วด้วยความตั้งใจที่จะช่วยชาวเขา ครูเรียมก็เริ่มจากการหานักเรียนโดยการเดินไปหาครอบครัวชาวเขาทีละครอบครัว ค่อยๆรับนักเรียนเข้ามาในห้องเรียนของครูทีละคน บางวันก็เปลี่ยนรูปแบบการสอนโดยไปยังไร่บนดอยและให้เด็กๆวาดรูปแทน ปีแล้วปีเล่าที่ครูเรียมพยายามและอดทนเพื่อที่จะทำให้การศึกษากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวเขาที่นี่ หลายต่อหลายครั้งที่ตัวครูเองก็รู้สึกหมดแรงและอยากจะกลับบ้านแต่ก็กัดฟันสู้เรื่อยมา

จนวันหนึ่งก็มีเฮลิคอปเตอร์บินมา และผู้ที่ลงจากพาหนะก็คือ"พ่อ"ของคนทั้งประเทศ "พ่อ"ได้พูดกับครูเรียมเพียงสั้นๆว่า "อย่าทิ้งเด็กที่นี่นะครู" ... ตั้งแต่นั้นมาครูเรียมก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจทิ้งพื้นที่นี้ไปอีกเลย และเมื่อใดที่เหนื่อย ก็จะมีคำพูดนี้คอยเตือนสติและกลายเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดไปทันที

เรื่องราวของครูเรียมเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเรื่องของคนที่อาสามาทำงานที่โครงการหลวงดอยอ่างขาง หากคุณมีโอกาสได้ไปพูดคุยกับคนที่นั่น คุณจะพบว่าแต่ละคนมีเรื่องราวของตัวเองที่น่าสนใจมาก การมาอยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ มันก็ทำให้ผมพบว่าการทำงานด้วยใจที่เสียสละและทุ่มเทนั้นมันเป็นแหล่งพลังงานที่เติมเต็มให้ผมมีแรงจะเดินต่อทุกๆครั้งที่ได้มาสัมผัส หลายต่อหลายครั้งที่ผมกำลังเหนื่อยและเบื่อกับชีวิตที่วุ่นวายในกรุงเทพ แต่พอได้สัมผัสกับบรรยากาศของอ่างขางและรับฟังเรื่องราวของคนที่นี่ มันทำให้เรื่องของผมกลายเป็นเรื่องที่เล็กมากในทันที และผมก็รู้สึกได้ถึงพลังในตัวเองลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

ปีนี้จะเป็นปีที่ 5 ที่ผมจะกลับไปเยือนอ่างขาง ผมเฝ้ารอการเดินทางนี้มาตั้งแต่วันที่เดินทางกลับเมื่อปีที่แล้ว อ่างขางกลายเป็น annual escapade ที่เติมเต็มชีวิตได้อย่างดี และถ้าคุณมีโอกาสและเวลา ผมอยากแนะนำให้ลองไปกันนะครับ เมืองไทยเรายังมีอะไรดีๆอีกมากมายที่เรายังไม่ได้ไปสัมผัส อ่างขางจะเป็นที่หนึ่งที่ทำให้คุณประทับใจได้แน่นอนครับ :)

Saturday, August 14, 2010

TweetDeck for Android

หลังจากที่ผมได้รู้จักกับ TweetDeck มาได้ร่วมๆปีและใช้มาอย่างต่อเนื่องบน desktop วันนี้ก็มีโอกาสได้สัมผัสกับ TweetDeck เวอร์ชั่นของ Android ซะที และผมก็ชอบมันมากๆซะด้วยสิ

TweetDeck เวอร์ชั่นของ Android นั้นจริงๆต้องเรียกว่ามาทีหลังชาวบ้านนานทีเดียว ปล่อยให้รายอื่นๆอย่าง Twidroyd, Seesmic, Touiteur หรือแม้แต่ Twitter เองนำไปไกลเลยทีเดียว แต่เมื่อถึงเวลาที่สมควร TweetDeck ก็ทำได้ค่อนข้างดี คุ้มกับที่รอจริงๆ ด้วยการออกแบบต้องเรียกว่าในเวอร์ชั่น 0.9.1 ที่เป็น beta นี้ในตอนแรกที่สัมผัสผมรู้สึกว่ามันแทบจะไม่เปิดให้ทำการตั้งค่าอะไรเองเลย แต่เมื่อลองไปสักพักถึงค่อยๆรู้สึกว่า การตั้งค่าต่างๆที่ผมต้องการนั้นมันถูก"ฝัง"อยู่ในตัวแอพฯเรียบร้อยหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเลือก RT แบบดั้งเดิมหรือแบบใหม่ แทนที่จะเป็นปุ่มให้เลือก เราสามารถเลือกได้ง่ายๆบนแถบที่เปิดให้พิมพ์เลย หรือจะเป็นการซ่อนเวลาไว้บนแถบด้านบน แม้จะบอกไม่ถูกว่าดีหรือไม่ดี แต่ก็เป็นการออกแบบที่แปลกใหม่ทีเดียว

ถ้าจะพูดถึงข้อดีคงจะมีอีกเยอะ แต่ผมมีอยูู่ 15 ข้อที่ผมอยากให้ TweetDeck for Android ทำการปรับปรุง ลองมาดูกันว่าคุณเห็นด้วยกับผมหรือไม่นะครับ
  1. ปุ่ม DM อยู่ลึกเกินไป กว่าจะหาเจอต้องเข้าไปยัง profile ของคนที่เราอยาก DM หา
  2. การ reply all ทำไม่ได้ มีแค่ reply กับ retweet
  3. การทวีตไม่ผ่าน เป็นปัญหาที่น่าเสียใจที่สุด เพราะจะพบว่าร้อยละ 30 - 40 ของการทวีตจะมีการแจ้งว่าส่งไม่ผ่าน ให้ทำการลองใหม่
  4. Notification bar มีการแจ้งที่ดี แต่เมื่อคลิกเพื่ออ่านข้อความกลับพบว่ามันไม่เรียกแอพฯบ้าง หรือหายไปซะดื้อๆ
  5. การเปิดลิงค์ใหม่ทับลิงค์เดิม เมื่อคลิกไปยังลิงค์ใดๆมันจะทับหน้าที่เราเปิดทิ้งไว้
  6. การตั้งขนาด font ยังทำไม่ได้ แม้จะดีที่แอพฯมาพร้อมกับตัวหนังสือขนาดยักษ์แต่ผมเองอยากลดให้มันเล็กลงกว่านั้น
  7. การตั้งเวลา refresh ทำไม่ได้ ซึ่งบางคนอาจจะรู้สึกว่ามันถี่ไป หรือบางคนอาจจะรู้สึกว่าถี่ไม่พอ
  8. ระบบ auto complete ชื่อเพื่อนและ hashtag ยังไม่มี ต้องมานั่งพิมพ์เอง ทั้งๆที่คู่แข่งเริ่มมีฟีเจอร์นี้กันหมดแล้ว
  9. การเปิดให้เลือกรวมหรือแยกข้อมูลบน TL ซึ่งตอนนี้ถ้าใช้ทั้ง facebook, twitter, foursquare จะเอาข้อมูลมากองรวมกันหมดบน Home TL
  10. การแสดงตัวอย่างรูปบน tweet ยังไม่มี ต้องกดไปที่ข้อความเพื่อไปอีกหน้าถึงจะเห็นรูป
  11. การแสดง highlight ข้อความที่ MT เราบน Home TL ซึ่งจะทำให้เราเห็นข้อความได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องข้ามไปแถบ Me
  12. การเพิ่มทางเลือกวิธีการ check in ซึ่งตอนนี้ต้องทำผ่าน icon บน Google Maps เท่านั้น ยังไม่มีแบบรายการ ซึ่งบางสถานที่กลุ่ม icon มันหนาแน่นมากทำให้เรา check in ลำบาก
  13. การอัพโหลดรูปไม่สามารถทำผ่าน Gallery ได้ ต้องเข้าไปที่แอพเท่านั้น
  14. ไม่สามารถเลือกบริการโหลดรูป, วิดีโอ หรือย่อลิงค์ได้
  15. หากพิมพ์ข้อความแล้วหมุนเป็นแนวนอน พอกลับมาแนวตั้งอีกทีข้อความจะถูกบังทำให้พิมพ์ไม่ได้
และนี่ก็คือปัญหาหลักๆที่ผมเจอ ซึ่งมันอาจจะมีอีกแต่ยังไม่เจอครับ หากใครมีอะไรที่เจอนอกเหนือจากนี้เอามาแบ่งปันกันได้นะครับ :)

Friday, August 13, 2010

If Android wants to go social.

ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า BlackBerry ทำตลาดในบ้านเราได้เก่ง โดยการยกจุดขายเรื่องของ chat มาเป็นตัวขับเคลื่อนการสร้างสังคมผู้ใช้และสร้าง Lock-In Effect ที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ จนทำให้หลายๆคนมองว่าถ้าอยากเข้ากับกลุ่มเพื่อนได้ ยังไงก็ต้องซื้อ BlackBerry มาใช้ ทั้งๆที่จะว่าไปแล้วคนจำนวนไม่น้อยกลับไม่ได้ใช้หรือสนใจจุดแข็งที่แท้จริงอย่าง Push Mail เลย และในวันนี้ BlackBerry ก็กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารแบบ social ไปอย่างเต็มรูปแบบ (ย้ำอีกครั้ง... ในเมืองไทย)

ทีนี้สิ่งที่มันเลี่ยงไม่ได้ก็คือ พอใครสักคนมองหามือถือใหม่ ก็จะต้องมองหาการ chat แบบที่ BlackBerry มี ทั้งๆที่เรื่องของ chat ในความเป็นจริงแล้วมี application หลายสิบตัวทีเดียวที่สามารถช่วยให้ chat ได้ ไม่ว่าจะเป็น Meebo, Parlingo, MSN, Google Talk, Yahoo IM, etc. เพียงแค่หาพวกนี้มาติดตั้งบนเครื่องไม่ว่าจะเป็น Android, BlackBerry, iPhone หรือแม้แต่ feature phone รุ่นอื่นๆ ก็สามารถ chat กันได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องมานั่งจำหรือวุ่นวายกับตัวเลขประหลาดๆที่ไม่มีความหมายอะไรเลยอย่าง PIN

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ หลายๆคนอยากให้ Android และ iPhone สามารถ chat กันแบบนั้นได้ด้วย ผู้พัฒนาหลายๆรายก็เลยบ้าจี้ตามไปด้วย หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนา application เพื่อรองรับการ chat โดยหวังว่าจะสามารถสร้าง social bond แบบที่เกิดขึ้นบน BlackBerry ให้ได้บ้าง เพื่อที่จะได้สร้างยอดขายให้ได้ถล่มทลายบ้าง

แต่พอผมมานั่งดูแล้วผมก็เข้าใจเอาเองว่า แท้จริงแล้วจุดแข็งของ Android มันไม่ใช่เรื่องของการ chat เลย สภาพแวดล้อมของ Android และ nature ของมันไม่ได้เกิดมาให้เป็นเครื่องมือ chat กุ๊กกิ๊กแบบเด็กๆแบบนั้น Android ไม่ใช่โทรศัพท์ที่จะมาดังดึ๊งดึ่งทั้งวันแบบนั้น แล้วจุดแข็งไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสัมผัส, multitouch (ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก iPhone), ระบบการ sync กับ Cloud หรือระบบ multitasking ที่ดี เหล่านี้ต่างเอื้อให้ Android ทำอะไรได้มากกว่านั้นในการที่จะกระโดดเข้ามาสู่โลก social หรือถ้าจะมองในอีกมุมหนึ่ง BlackBerry เองทำเรื่องของ chat ได้ดีอยู่แล้ว การที่ Android จะมาแข่งกับ BlackBerry ในเรื่องนี้ สำหรับผมแล้ว... เสียเวลา!

เมื่อเร็วๆนี้ Google ได้เปิดตัว C2DM หรือ Cloud To Device Messaging มาพร้อมกับ FroYo ผมถือว่านี่แหละที่จะเป็นตัวที่จะทำให้ Android ประสบความสำเร็จในการสร้าง social bond ของตัวเองได้ และทำได้อย่างมีสไตล์กว่า BlackBerry หลายขุมทีเดียว โดยสิ่งที่ผมว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีก็คือภาคต่อของ C2DM นั่นก็คือ D2DM หรือ Device To Device Messaging

ไอเดียของผมเองก็คือ ลองนึกดูว่าจะมีประโยชน์และน่าสนุกแค่ไหน ถ้าคนที่ใช้ Android (เวอร์ชั่น 2.2 ขึ้นไป) สามารถส่ง intent หากันได้แล้วทำให้เกิดรูปแบบของ social bond แบบใหม่ที่ไม่ใช่ chat แต่เป็น Content Sharing ตัวอย่างที่พูดถึงก็คือ...
  • ถ้านาย ก. อ่านข่าวบน Android แล้วเจอข่าวที่น่าสนใจ อยากแบ่งปันให้ นาย ข. อ่าน แทนที่จะมานั่งส่ง link ผ่าน email, SMS, หรือ Twitter, Facebook นาย ก. ก็สามารถกดจาก browser ส่ง intent ไปเรียกให้ browser บนเครื่องนาย ข. แสดงข่าวนั้นได้ทันที แบบเดียวกับที่ C2DM ทำได้
  • ถ้านาย ก. ไปเที่ยวต่างจังหวัด โดยขับไปเองและนัดนาย ข. ทานอาหารระหว่างทางแต่นาย ข. หาร้านไม่เจอ นาย ก. ก็สามารถเปิด Google Maps จากเครื่องที่ถือ ส่ง intent ไปเรียกให้ Google Maps บนเครื่องนาย ข. แสดงผลแบบทันที
  • นาย ก. เจอ MV เพลงใหม่ของ Bodyslam ที่สุดยอดมาก อยากให้นาย ข. ได้ดู ก็กดส่ง intent ผ่าน youtube มาเข้าที่เครื่องนาย ข. ทันที
เหล่านี้ผมว่าในแง่ของคนที่ใช้ Android น่าจะเกิดการแบ่งปันที่สนุกและมีความผูกพันระหว่างผู้ใช้มากกว่าการ chat ซะด้วยซ้ำ เพราะผมกำลังพูดถึง content ที่ไม่ใช่แค่ text แต่เป็น rich contents ที่ผ่านการคัดสรรโดยเพื่อนที่เรารู้จัก และแน่นอนว่าการ share เหล่านี้ผู้รับย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกรับหรือไม่รับก็ได้แบบเดียวกับที่ Facebook เปิดให้เลือก หรือถ้าใครกังวลเรื่องของ spam ผมกลับมองว่า spam อยู่คู่กับทุกการสื่อสารอยู่แล้ว ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น SMS, email, จดหมาย, ใบปลิว, BlackBerry Messenger, MSN, ทีวี ฯลฯ ทุกอย่างมี spam อยู่แล้ว D2DM ก็ไม่น่าจะแย่ไปกว่าระบบหรือช่องทางอื่นๆแน่ๆ

ผมว่าการหันมาสู่ content sharing น่าจะเป็นการสร้าง social bond ที่ดีระหว่างผู้ใช้ที่นอกจากสนุกแล้วยังเท่อีกด้วย... ไม่รู้ว่า Google จะคิดแบบนี้หรือเปล่า :D

Friday, August 6, 2010

Mobile Applications with Thai Government

วันนี้มีโอกาสได้ไปร่วมงานเสวนา Mobile Application ที่จัดโดย NECTEC Academy ถือว่าเป็นงานที่น่าสนใจมากๆ โดยจุดมุ่งหมายคือการแบ่งปันประสบการณ์การใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆโดยเฉพาะทางมือถือให้กับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับทราบ เผื่อว่าจะนำไปปรับใช้กับตัวเองและองค์กรได้

มีโจทย์หนึ่งน่าสนใจมากว่า ในฐานะของผู้บริโภค เราอยากให้องค์กรของรัฐเช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯทำอะไรบ้าง... ระหว่างที่พูดก็ตอบไปว่าจริงๆผมต้องการ 2 อย่าง อย่างแรกคือการทำให้ข้อมูลที่มีประโยชน์จำนวนมากมายของกระทรวงฯมาอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมกับการเข้าดูผ่านอุปกรณ์มือถือให้ได้ เช่น สามารถแสดงผลบน mobile browser ได้อย่างรวดเร็วและดูสวยงาม เพื่อที่คนทั่วไปที่มี smart phone สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น ลดความยากลำบากและความรู้สึกว่าการเข้าถึงเป็นเรื่องยากลง อย่างที่สองก็คือ การที่องค์กรสามารถรับฟังความคิดเห็นและคำแนะนำจากผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและสามารถตอบโต้กับผู้บริโภคหรือประชาชนทั่วไปได้ สำหรับผมแล้ว 2 ข้อนี้เพียงพอกับการเริ่มต้นแล้ว และน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่เหมาะสม ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป

ผมเองมองว่าองค์กรของรัฐ หรือแม้แต่บริษัทเอกชนหลายๆแห่งยังให้ความสำคัญกับการรองรับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือน้อยเกินไปทั้งๆที่เราต่างเห็นกันแล้วว่าอีกภายในไม่กี่ปี การใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับชีวิตประจำวัน ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทั้งโครงข่ายและตัวอุปกรณ์มือถือทำให้ต้นทุนค่อยๆลดลง ปริมาณข้อมูลที่น่าสนใจที่หลากหลายทำให้คนหันมาใช้โทรศัพท์มือถือเข้าสู่อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ถ้าองค์กรของรัฐหรือบริษัทต่างๆหันมาให้ความสำคัญและรองรับการเข้าถึงตรงนี้มากขึั้น จะช่วยสร้างความผูกพันและการใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นองค์กรเองจะได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลซึ่งจะกลายเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับองค์กรเองด้วย

ลองนึกกันเล่นๆดีกว่า จะเป็นยังไงถ้า...
  • กระทรวงมหาดไทยพัฒนาระบบให้สามารถนับจำนวนประชากรโดยเชื่อมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ การทำสำมะโนประชากรอาจจะดีขึ้นทั้งในแง่ความรวดเร็วและแม่นยำ
  • กรมตำรวจพัฒนาเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นสำหรับมือถือที่เปิดให้ผู้คนแจ้งความได้อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น เช่น การลักขโมย การปล้นจี้ อุบัติเหตุ ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องโทรแจ้งอาจจะให้รายละเอียดได้ไม่ครบ ถ้าต่อไปเราสามารถถ่ายรูปแล้วอัพโหลดขึ้นระบบเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ การดูแลความสงบและการลงโทษคนผิดอาจจะรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • หน่วยงานที่มีงานวิจัยดีๆเช่น NECTEC, NSTDA มีเว็บไซต์ที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปดูงานวิจัย, รายการทางเทคโนโลยีย้อนหลัง ที่สามารถเปิดผ่านโทรศัพท์มือถือได้ เราก็อาจจะใช้เวลาว่างเพียงสั้นๆในการเปิดดูคลิปรายการ อ่านสรุปข่าว ซึ่งจะเป็นการกระจายความรู้ที่รวดเร็วและเข้าถึงได้ดีกว่าสื่อปัจจุบัน
  • กระทรวงวัฒนธรรมที่ดูแลร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ อาจจะได้รับข้อมูลร้องเรียนพร้อมหลักฐานที่รวดเร็วและสามารถรับมือการทำผิดได้อย่างตรงประเด็น
ตัวอย่างของผมอาจจะฟังดูไร้สาระ ทำไม่ได้จริง แต่ผมว่ามันก็เป็นแนวไอเดียที่สามารถเอาไปปรับปรุง ประยุกต์ ดัดแปลงเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้ และประโยชน์ที่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นของใครคนเดียว สุดท้ายมันก็กลับมาที่พวกเรานั่นเองนะครับ

Thursday, August 5, 2010

August 5th, 2010

พอกลับมาดู blog ตัวเองอีกครั้ง ผ่านไป 10 เดือนแล้ว! มัวแต่เอาเวลาไปเขียนลงที่โน่นที่นี่ ทำโน่นทำนี่ ไม่ได้มาอัพเดทอะไรของตัวเองเลย ก็เลยตั้งใจว่า จากนี้ไปจะกลับมาใช้ blog ของตัวเองเป็นที่หลักในการสื่อสารกับมนุษย์โลกดีกว่า อยู่ที่นี่ที่เดียว อยากเขียนอะไรก็เขียน ไม่ต้องมีเงื่อนไขของใครให้ต้องเดินตาม ไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ต้องถูกจำกัดหัวข้อ นี่คือความสุขของอิสรภาพ :)

สำหรับคนที่ไม่รู้จักผม ผมคาดว่าจากนี้ไปคุณน่าจะได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ Android, มือถือ, เทคโนโลยี, กิจกรรมความเป็นไปในสังคมเทคโนโลยี, เรื่องธุรกิจ-การตลาด, เรื่องธรรมชาติบ้าง, เรื่องท่องเที่ยวบ้าง, เรื่องบันเทิงเล็กน้อย, และอาจจะมีเรื่องไร้สาระอีกเป็นส่วนใหญ่ ถ้ารายละเอียดที่กล่าวมาพอจะเป็นที่ยอมรับได้ ก็ขอต้อนรับและขอร้องว่าติดตามกันด้วยนะครับ มี comment ด้วยก็จะดีใจเป็นอย่างยิ่งครับ ^^