Thursday, August 28, 2008

18 อย่างที่บอกว่าคุณกำลังรักใครอย่างจริงจัง

มีคนเขียนไว้ว่า ถ้าคุณมีลักษณะ 18 อย่างต่อไปนี้กับใครสักคน คุณกำลังตกหลุมเค้าอย่างจริงจัง และคนๆนั้นคือรักที่คุณตามหา... ผมเองยังไม่เคยมีครบทั้ง 18 อย่างให้กับใคร แต่ผมเคยให้คนคนหนึ่ง 15 ข้อกว่าๆ... กว่าๆคือมันพูดไม่เต็มปากว่าจริง แต่ 15 ข้อที่ว่านี่ตรงแน่นอน

ลองดูนะครับ ว่าคุณเองเคยรักใครแล้วมีครบทั้ง 18 ข้อหรือเปล่า ถ้ามี...ดูแลคนๆนั้นๆให้ดีๆนะครับ

1. You are comfortable and secure in your relationship. You trust that your partner won't hurt you and there is no need of suspicion or jealousy.
2. You have remained together through good times and bad.
3. Thoughtful things are done just because it makes both of you feel good.
4. Neither of you make sacrifices, only compromises.
5. Your significant other has told you of their deep feelings, and they are returned.
6. Your affections for your partner make you feel special and good about yourself.
7. When there is a fight, you usually make up after only a few hours and agree that nothing is more important than both of you expressing your true feelings, even if they cause conflict.
8. You and your partner feel no need to test each others feelings or loyalties.
9. You can be yourself when with your partner more so than anyone else.
10. You've forgotten your ex.
11. You can't stop thinking about your partner.
12. You care about your significant other more than anything.
13. You find your partners quirks charming.
14. You have great chemistry.
15. You don't notice others as much.
16. You love spending time together.
17. Other priorities take a backseat.
18. You start thinking about your future together.

Monday, August 18, 2008

Sydney and me (Part II) - House on the Hill

ประสบการณ์หนึ่งปีใน Sydney ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงทั้งด้านความคิดและมุมมองต่อสิ่งเดิมๆ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างทั้งทางตรงและทางอ้อม หลายอย่างเป็นการฝึกให้ผมมีความอดทนและหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ ลองมาดูกันว่าหนึ่งปีในเมือง Sydney ของผมมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง วันนี้ขอเริ่มจากเรื่องบ้าน...

บ้านที่ผมอยู่ด้วยนั้นอยู่บนยอดเขาโดดๆ เป็นเขาที่ครอบครัวนี้ไปซื้อไว้ ถ้ามองลงไปจะเห็นมีลำน้ำเล็กๆอยู่ สามารถไปพายเรือเล่นได้ ต้นไม้เต็มไปหมดทุกทิศทาง บ้านหลังนี้ dad กับ mum สร้างขึ้นเอง โดยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อ Patrick เป็นคนช่วย ทุกส่วนในบ้านทำเองหมด แต่ด้วยความที่มันอยู่ไกล บ้านนี้จีงไม่มีไฟฟ้าใช้ครับ หมายถึงว่าไฟฟ้าที่ลากสายไฟเข้ามาเนี่ย...ไม่มี ดังนั้นพลังงานในบ้านจึงมาจากแผ่น solar cells และเครื่องปั่นไฟล้วนๆ เราจะดีใจกันมากที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าวันนั้นแดดออกเปรี้ยงๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะเก็บไฟไว้ใช้ได้อีกหลายวัน ถ้าวันไหนแดดแรงหน่อย พวกเราก็จะได้ดูทีวีจนดึกกว่าวันอื่นๆที่ท้องฟ้าปิด

แต่ด้วยความที่มันธรรมชาติสุดๆนี่เอง พวกเรามักจะมีเพื่อนบ้านที่ไม่ได้รับเชิญอยู่หลายครั้ง... ผมเองเป็นคนที่กลัวงูแบบสุดขั้ว มีวันหนึ่งกลับบ้าน mum เปิดถังให้ดูและพบว่ามีงูดำตัวเท่าแขนผมยาวเฟื้อยนอนตายอยู่ในนั้นโดยที่หัวมันระเบิดไปแล้ว มารู้ทีหลังว่า Mark ได้ยินหมาเห่าจึงดูจากหน้าต่างแล้วเห็นมีงูอยู่ Mark จึงไปหยิบปืนมาเล็งยิง ปรากฏว่านัดเดียวอยู่เลย... หรือจะอีกครั้งก็คือมีอยู่คืนหนึ่ง ผมกำลังนอนหลับอยู่ จู่ๆก็มีเสียงดังลั่นที่กำแพงฝั่งที่ผมนอนอยู่ ผมตกใจตื่นดูหน้าต่าง เห็นเงาตะครุ่มๆกระโดดๆไป มารู้ตัวก็ตอนที่ dad ออกมาดูแล้วก็บอกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆว่า มันคือจิงโจ้นั่นเอง นานๆครั้งก็จะมีจิงโจ้ออกมากระโดดเล่นแล้วด้วยความมืด มันคงไม่เห็นกำแพงบ้าน เลยอัดเข้าไปดังโครมขนาดนั้น ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จิงโจ้ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม เหมือนการเห็นหมาในบ้านเราล่ะครับ เพราะมันเยอะใช้ได้ทีเดียว สักพักๆมันก็จะออกมากระโดดแข่งกับรถระหว่างที่เราขับออกไปถนนใหญ่ เห็นมันกระโดดๆแล้วก็รู้สึกประหลาดดีเหมือนกัน ถ้าคุยกันรู้เรื่อง ผมคงจะถามพวกมันว่า "เหนื่อยมั้ย?"

การที่บ้านอยู่บนเขาขนาดนั้นทำให้พวกผมได้ฝึกการเดินแบบ intensive course เลยทีเดียว... ผมและเด็กๆต้องเดินวันละ 7 กิโลเมตรเพื่อไปและกลับจากโรงเรียน อ้อ... ยังครับ เดิน 7 กิโลเพื่อไปและกลับจากรถโรงเรียนอีกทีครับ การเดินไม่ใช่การเดินถนนลาดยางที่มีต้นไม้ปกคลุมร่มรื่นซะด้วย พวกเราเดินกันทั้งบนดิน ทราย หินและถ้าช่วงไหนฝนตกก็ต้องบวกโคลนไปด้วย... 12 เดือนที่อยู่บ้านนั้น ทำให้ผมได้ฝึกความอดทนและฝึกร่างกายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วงแรกๆผมเหนื่อยและอยากจะย้าย host มาก แต่พอผ่านไปสักพัก ผมพบว่าผมมีความอดทนมากขึ้น สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจตลอดเวลาระหว่างที่เดินก็คือ "เดี๋ยวมันก็ผ่านไป" "อีกแป๊บก็ถึง" และ "หยุดตรงนี้แล้วมึงจะถึงบ้านได้ไง" พอเรากลั้นใจเดินไป เดี๋ยวมันก็ถึงจริงๆ ตั้งแต่นั้นมา ผมพบว่าผมเป็นคนใจเย็นมากขึ้น ผมยอมที่จะรอเพื่ออะไรๆได้โดยที่ไม่หงุดหงิดโวยวาย และตั้งแต่นั้นมา หลายๆคนที่รู้จักผมก็มักจะทักว่าผมเป็นคนใจเย็น ทั้งๆที่ตอนเด็กผมเอาแต่ใจและอารมณ์ร้อนสิ้นดี

ความสนุกอีกอย่างก็คือการที่เราใช้วันหยุดเดินลงไปพายเรือเล่นที่ลำน้ำข้างล่าง ถ้าคุณเคยดูหนังฝรั่งที่มีธรรมชาติสวยๆ มีเขาล้อมรอบ น้ำใสๆเย็นๆเห็นตัวปลา ว่ายวนไปมาน่าเอ็นดู มีฝรั่งชายหญิงพายเรือเล่นกัน หน้าตายิ้มแย้ม นั่นละครับ! อารมณ์นั้นเลย ผมกับเด็กๆมักจะลงไปเล่นน้ำ พาย canoe และก็อาศัย sausage ของใครที่ตามที่พาเราลงไปเพื่อประทังชีวิต มันเป็นความสงบ ร่มรื่นที่แสนสบายใจจริงๆ รู้เลยว่าทำไมทาร์ซานชอบอยู่ป่า เพราะอากาศมันเย็นสบาย สดชื่นดีจริงๆ

เป็นไงครับ เรื่องแรก..? ถ้ายังไม่เบื่อไปซะก่อน รออ่านเรื่องต่อไปเร็วๆนี้ครับ

Saturday, August 16, 2008

Sydney and me (Part I)

ผมเองมีความ"อยาก"ตั้งแต่เด็กที่จะต้องไปอยู่เมืองนอกให้ได้ แม้จะไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจ แต่ผมรู้ตัวดีว่า"เข็มทิศชีวิต"ของผมจะต้องพาผมไปจนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จนกระทั่งผมขึ้นม.ปลาย โอกาสนั้นก็มาถึงจนได้

ผมสอบ AFS 2 ปีติดต่อกัน ปีแรกผมสอบผ่านข้อเขียนแล้ว แต่ผมเปลี่ยนใจไม่ไปสัมภาษณ์ซะงั้น เหตุผลหนึ่งคือประเทศที่เลือกไปได้ไม่น่าสนใจ อีกเหตุผลคือผมเกิดกลัวการไปอยู่คนเดียวขึ้นมากระทันหัน และเหตุผลสุดท้ายคือติดเพื่อนและแฟน... แต่หลังจากที่เห็นเพื่อนไปกันแล้ว จึงมาสำนึกว่า ไม่น่าปล่อยให้ความฝันนั้นหลุดมือไปเลย ทั้งๆที่ตั้งใจดิบดีแล้วแท้ๆ จากตอนนั้นเองผมเลยตั้งความหวังไว้ว่าปีต่อมาผมจะต้องสอบอีกและคราวนี้ยังไงก็ต้องไปให้ได้

หนึ่งปีหลังจากนั้นผมทุ่มเทเต็มที่ โชคดีที่ผมเองมีพื้นภาษาที่ค่อนข้างโอเค แม้จะไม่ได้เลิศเลอ แต่ก็พอเอาตัวรอดได้สบายๆ ผมท่องศัพท์เองทุกวันวันละ 20 คำแบบสะสมไปเรื่อยๆ หมายถึงว่า วันนี้ท่องได้ 20 พรุ่งนี้เอาอีก 20 แต่ของเก่าต้องได้ด้วย จนผมรู้ตัวอีกที ผมซัดไปน่าจะเกือบๆพันคำภายในเวลาไม่นาน ในขณะเดียวกันผมต้องเตรียมตัวโดยการไปเรียนรำดาบเพื่อสอบสัมภาษณ์ด้วย ผลลัพธ์ก็คุ้มค่ากับความตั้งใจจริงๆ ผมได้ที่หนึ่งของคนที่เลือกประเทศออสเตรเลีย และแน่นอนครับ ไม่นานหลังจากนั้น ผมก็ต้องจากบ้านเกิดไปอยู่ต่างถิ่น ดินแดนแห่งจิงโจ้ แผ่นดินที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล

ทุกคนที่ไปจะได้อาศัยกับ host ที่เป็นอาสาสมัครซึ่งคนเหล่านี้รับนักศึกษามาอยู่ด้วยและดูแลเหมือนคนในครอบครัว ผมเองจะแตกต่างกับคนอื่นหน่อย ตรงที่ผมได้ host วันก่อนบินเพียงวันเดียว... พ่อแม่ ญาติๆลุ้นยังกะผมจะไปแข่งโอลิมปิค ผมเองลุ้นยังกะจะไปต่างดาว พอๆกันเลยบ้านนี้ แถมที่แตกต่างอีกข้อก็คือ ครอบครัวนี้เป็นชาว Irish ครับ... สำหรับผมแล้ว ยังกะได้ไปต่าวดาว 2 ดวงในการบินเที่ยวเดียว คุ้มจริงๆ

ครอบครัวนี้น่ารักมากๆครับ Dad กับ Mum เป็นชาว Irish ที่โตใน Ireland เลย ดังนั้นภาษาจะมีสำเนียงของชาว Irish ขนานแท้ ในขณะที่ลูกๆมาโตที่นี่ รวมทั้งบางคนก็เกิดที่นี่ เลยมีสำเนียง Aussie แบบเต็มตัว... บ้านนี้มีลูก 4 คนครับ Mark, Michelle, Karren และ Greg เป็นเด็ก 4 คนที่อายุไล่เลี่ยกับผมหมด ดังนั้นผมจึงไม่มีปัญหาในการเข้ากับลูกๆเลย จะมีบ้างก็ที่ Mark ชอบทำตัวอวดเก่ง เป็นพี่คนโต จนหลายๆครั้งผมก็พูดใส่หน้ามันเป็นภาษาไทยเลยว่า "เออ มึงเก่ง... อย่ามาเมืองไทยละกัน" หรือบางครั้ง Michelle ก็ชอบทำตัวเป็นสาวเปรี้ยว จนผมแอบเขินไม่ได้ อย่างเช่นวันแรกที่ผมตื่นมา ผมออกมานั่งกินกาแฟ Michelle เดินออกมาโดยมีแค่บราและกางเกงในตัวจิ๋ว...โอ้ ต่างแดนนี่มันมีดีอย่างนี้นี่เอง ผมคิดในใจ...

ตลอดหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่ มีเหตุการณ์และเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ผมกล้าพูดได้เลยว่า ถ้าคุณผู้อ่านรู้ว่าผมผ่านอะไรมาบ้างคงต้องแอบทึ่งผมบ้างไม่มากก็น้อย แต่เอาเป็นว่าขอเป็น blog หน้าละกันนะครับ วันนี้ขอเกริ่นๆแค่นี้ก่อน

ราตรีสวัสดิ์ครับ


ตอนไปปีนเขากับ AFS
Chyu, Sono, Satoko



วิชาที่ผมชอบเรียนที่สุด... Drama



ตอนไปเที่ยว Safari 17 วันครึ่งประเทศ



กลางทะเลทรายที่อยู่ตรงกลางของประเทศพอดี

Thursday, August 14, 2008

Lingkoon

สังเกตุ blog ของตัวเองแล้วเห็นว่ามันหนักเหมือนกันแฮะ ช่วงหลังๆนี่ เลยกะว่าจะมาเขียนเรื่องเบาๆบ้าง ไหนๆวันนี้ก็มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งค่อนข้างเยอะ เลยเอามันนี่แหละเป็นเหยื่อ ฮ่าๆๆ เพื่อนคนนี้ชื่อหลิงครับ

หลิงเป็นเด็กน้อยเพศหญิงนำเข้ามาจากมาเลย์เซียที่บังเอิญพูดไทยได้ดี หมายถึงว่าคำไหนที่พูดก็พูดได้ชัดสื่อความหมายถูก แต่คำไหนที่พูดไม่ได้ หลิงก็จะพูดเป็นภาษาอังกฤษไปเลย ดูอินเตอร์ดีนะครับ ผมรู้จักกับหลิงตอนที่ผมทำงานที่ MovieSeer หลิงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมสนิท และเราก็สนิทกันเร็วมากเพราะอย่างแรกคือหลิงเป็นคนสนุกสนาน หัวเราะได้ทั้งวัน ตอนแรกๆผมคิดว่าเค้าเพี้ยนๆ แต่หลังๆผมค้นพบว่า เออ ผมเองก็เพี้ยนระดับหนึ่ง เราเลยเข้ากันได้ดี ไม่รู้ว่าน่าดีใจมั้ย...

ผมเองทำงานที่ MovieSeer ได้แค่ช่วงสั้นๆ แล้วบังเอิญโชคชะตาก็พาระหกระเหินไปสู่บ้านใหม่อย่าง True Move แต่สถานะจากเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้ทำให้เราเลิกติดต่อกัน ผมเปลี่ยนหลิงจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งไปแทน จนเมื่อกี๊ ผมบอกหลิงว่าผมจะเขียน blog เกี่ยวกับมันนะ หลิงบอกว่า เออแปลกใจเหมือนกัน เพราะไม่เคยคิดว่าผมมองหลิงเป็นเพื่อนสนิท นึกว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้นเอง ผมก็ได้แต่ตอบหลิงไปว่า ช้าไปละ ถึงจังหวะนี้จะเลิกเป็นเพื่อนสนิทกันก็คงไม่ทันละ ซวยละมึง...

สาเหตุหลักอันนึงที่ทำให้เราสนิทกันมากช่วงนี้คงเป็นเพราะเราผ่านอะไรมาคล้ายๆกันนิดหน่อย ช่วงที่ผมตกต่ำมากหลิงนี่แหละที่ผมคุยด้วยเยอะที่สุด และทุกครั้งที่คุยก็จะรู้สึกดีขึ้นได้ท้นที หลิงให้มุมมองของคนที่ผ่านมาก่อน แม้หลิงเองจะอยู่ในสถานะของอีกฝั่ง คือการเป็นคนบอกเลิกกับแฟน แต่มันทำให้ผมเข้าใจถึงสาเหตุของสถานการณ์ที่คนบอกเลิกก็ต้องเจอ ผมเข้าใจเลยว่า จริงๆมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันสำหรับเด็กอินเตอร์ที่จะมารับคนกึ่งไทย กึ่งจีน และมีเศษเสี้ยวของความคิดนอกคอกแบบผมได้ แล้วพอคุยเรื่องหนักๆกันไปสักแป๊บมันก็จะลงเอยด้วยการเล่นตลกคาเฟ่ผ่าน MSN ไปทันที แล้วอารมณ์ที่กำลังย่ำแย่ของผมก็จะกลายเป็นอารมณ์ร่าเริงหายโศกไปในบัดดล

ผมว่านี่ล่ะมั้งที่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมยกระดับความเป็นเพื่อนร่วมงานของหลิงให้กลายเป็นเพื่อนสนิท เหตุผลง่ายๆเลยครับ หลิงช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลาแย่ๆไปได้ในเวลาที่ผมต้องการคุยกับใครสักคน ในขณะเดียวกัน วันที่หลิงมีอาการแย่ๆ หลิงก็โทรมาร้องไห้กับผมเหมือนกัน (Sorry I have to mention about you crying, but it helps with the explanation.) คุณผู้อ่านลองนึกถึงการที่มีใครสักคนเวลาที่คุณล้มคอยช่วยพยุงคุณให้เดินต่อไปได้ เค้าสำคัญกับคุณมั้ยครับ...

หลิงเคยตั้งฉายาให้กับผมว่า ผมเป็น Piggy ในเรื่อง Chicken Little อ้อ คือตอนนั้นผมยังอ้วนกว่าตอนนี้เยอะอ่ะครับ ผมยังนึกไม่ออกจนถึงวันนี้ว่าจะตั้งฉายาอะไรให้หลิงดี เอาเป็นว่า แกก็เป็นหลิงคุนต่อไปละกัน

I'll see you next week dude.

ปล. เอารูปมาให้ดูครับ หลิงคุนกับแฟน เป็นคู่ที่น่ารักดีนะครับ

Wednesday, August 13, 2008

Head or heart...?

มีคนๆหนึ่งบอกผมว่าเวลาเรารักใครมันเป็นเรื่องของหัวใจ อย่าไปยึดติดกับเหตุผลใดๆ เพราะความรักมันอาจจะอธิบายด้วยเหตุผลใดๆไม่ได้เลย ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะผมโตมากับวิทยาศาสตร์มั้งครับ ไม่รู้ดิ แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้าคนเราไม่มีเหตุผลในการที่จะรักใครเลย หรือไม่"คิด"ให้ดี วันหนึ่งถ้าความรู้สึกเปลี่ยน ความรักนั้นมันจะคงทนได้ยังไง

สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันน่าจะมีทั้งสองอย่างเพื่อให้มันเกิดการคานกัน ตัวอย่างเช่น ตอนที่คุณรู้สึก in love มากๆ คุณก็ให้หัวใจทำงานไป แต่ตอนไหนที่คุณรู้สึกเบื่อๆหรือต้องการมองหาอะไรใหม่ๆที่มันตื่นเต้น คุณอาจจะต้องลดความสำคัญของหัวใจลง แล้วให้สมองทำงานแทนไปก่อน เพราะเมื่อเรามองถึงข้อดีต่างๆนานาของคนที่เรารักแล้ว ผมว่าเมื่ออารมณ์ว้าวุ่น เบื่อหน่ายต่างๆผ่านไป ความสัมพันธ์มันก็จะได้ยังคงอยู่ สำหรับผมแล้ว อารมณ์พวกนี้มันอาจจะบังคับกันไม่ได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้มันมีบทบาทเหนือการควบคุมของเรา เราอาจจะต้องเสียใจกับสิ่งที่เราทำไปตลอดไปเลยก็ได้ จริงมั้ยครับ



ที่ P&G เองก็มีอะไรคล้ายๆกัน นั่นคือโปรแกรม work-life balance ที่เป็นหลักสูตรที่พนักงานของ P&G ต้องเข้า (ตามที่เพื่อนผมบอกมาอีกที) หัวใจของหลักสูตรนี้คือ ต่อให้คุณมีความตั้งใจจะทุ่มเทกับงานแค่ไหน คุณก็ต้องมีอย่างอื่นด้วยเหมือนกัน โอเค มันอาจจะไม่เหมือนกับเรื่องที่ผมเล่าก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่ผมต้องการบอกก็คือ ผมว่าทุกๆอย่างมีส่วนตรงข้ามของมันอยู่ อะไรก็ตามที่มันต้องมาด้วยกันแต่อาจจะขัดกันโดยธรรมชาติ สิ่งที่ท้าทายและจะเป็นจุดวัดของคนที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ... ใคร balance มันได้ดีกว่ากัน

พอย้อนกลับไปถึงหัวข้อตั้งต้นของผมอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าผมก็ยังมีอะไรต้องปรับแก้อีกเยอะ มันคงไม่มีสูตรตายตัวด้วยซ้ำที่จะยื่นให้ใครแล้วจะทำกันได้ดีทุกคน แต่นั่นคงจะเป็นเสน่ห์ของการเรียนรู้มั้งครับ

ถ้าวันหนึ่งผมประสบความสำเร็จ ผมจะมาแบ่งปันให้ได้ทราบกันอีกทีครับ

Tuesday, August 12, 2008

จบไปอีกหนึ่งรุ่น

เวลาเดินเร็วจริงๆเลยนะครับ ว่ามั้ย? บางอย่างพอเราเผลอแป๊บเดียว มันก็ผ่านไปเป็นปีๆโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวเลย... ล่าสุด รุ่นน้องผมที่ MIM ก็จบไปอีกหนึ่งรุ่นแล้ว รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ผมสนิทด้วยที่สุด ผูกพันมากที่สุด แล้วก็เห็นกันมาตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว รุ่น 20 กับผมถือว่ามีความผูกพันเยอะเพราะอย่างแรกเนี่ย ผมเป็นรุ่นพี่ที่คอยดูแลตอนที่รุ่นนี้เข้ามาใหม่ๆ ผมเป็นพี่เลี้ยงให้กับน้องกลุ่มหนึ่งตอนที่มี team building จากนั้นก็เนื่องจากว่ารุ่นนี้ชอบออกไปเที่ยวกันบ่อยๆ ก็เลยสนิทกันเร็ว แต่สาเหตุสำคัญก็คงต้องบอกว่าเป็นเพราะผมดันมีแฟนเป็นคนในรุ่นนี้ซะด้วย ตลอดสองปีกว่าๆที่ผ่านมา ผมเลยกลายเป็นคนในรุ่นคนหนึ่งไปโดยปริยาย แล้วเพื่อนๆผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆแล้วผมอยู่รุ่นไหนกันแน่

ล่าสุดการไปงานรับปริญญาก็เป็นสิ่งที่ทำให้ใจหายเหมือนกัน เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งแต่งชุดครุยมาถ่ายรูปกับเพื่อนๆเอง พอกระพริบตาผ่านไปไม่กี่แสนครั้ง รุ่นนี้ก็มารับต่อละ เร็วจริงๆ



ขอเอาอีกรูปมาแปะ เป็นรูปของรุ่นพี่และ staff ของโครงการครับ



แล้วก็แถมท้ายด้วยรูปที่ขโมยมาจากเว็บของน้องๆ







Friday, August 1, 2008

มองไปรอบๆตัว...

สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมและหลายๆคนรอบตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาคือ การเลิกกัน... ใช่ครับ การเลิกกันมีมาตั้งแต่ก่อนผมเกิด เรียกว่าย้อนไปตั้งแต่ยุคก่อนที่จะมีอารยธรรมซะอีกก็คงจะว่าได้ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าบังเอิญมันเกิดกับตัวผมเองด้วย เลยทำให้ผมอยู่ในอาการ selective perception นั่นคือเลือกที่จะมองสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง หรือสิ่งที่อยู่ในความสนใจอยู่ในขณะนั้น แต่ผลลัพธ์ก็คือ ผมสังเกตว่ามีคนเลิกกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีอีกหลายคนที่กำลังจ่อคิวอยู่ด้วย

สาเหตุที่ทำให้ผมถึงกับต้องเขียนถึงเรื่องธรรมดาๆอย่างนี้ก็คือ การที่หลังๆนี่การเลิกกันเริ่มมีเหตุผลที่ซับซ้อนมากขึ้น หรือถ้าจะให้เอาให้ตรงไปตรงมากว่านั้น มันคือการมีเหตุผลน้อยลงครับ... สิ่งที่ผมได้ยินจากการเลิกกันในยุคก่อนๆคือ การที่คนสองคนอยู่ด้วยกันแต่เข้ากันไม่ได้จริงๆ ทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนทางออกเดียวคือการแยกกันอยู่ หรือการที่สังคมหรือพ่อแม่ไม่ยอมรับ อะไรประมาณนี้ แต่สิ่งที่เกิดหลังๆ โดยเฉพาะช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ก็คือ การที่คนสองคนยังรักกันอยู่แต่จำเป็นต้องเลิก... นี่แหละที่ผมบอกว่ามันซับซ้อน ก็ไอ้ความจำเป็นนี่แหละ ที่บางทีเราต้องอาศัยความพยายามพอสมควรเพื่อที่จะเข้าใจความจำเป็นที่ว่านี่ ซึ่งหลังจากที่โดนกับตัวเองแล้ว ตอนนี้... ผมกำลังอยู่ในสถานะการเป็นที่ปรึกษาให้กับเพื่อนสนิทผมอีกหนึ่งคนที่กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองในการตัดสินใจว่า"ความจำเป็น"นี้ จะมีผลต่ออนาคตของความสัมพันธ์อันดีของตัวเองหรือไม่

ความจำเป็นที่ว่านี้ มันมาในหลายรูปแบบของคำอธิบาย สิ่งที่ผมเผชิญคือ การอยากเป็นตัวของตัวเอง การอยากทำอะไรที่ตัวเองอยากทำอย่างเต็มที่ ซึ่งผมขอไม่พูดถึงกรณีของผมเองนะครับ เอาเป็นว่า ผมเข้าใจคำอธิบายและผมก็ติดตามผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า แล้วผมก็พอจะเข้าใจละว่าอะไรเป็นอะไร แต่สำหรับของเพื่อนผม การที่เหตุการณ์มันเหมือนย้อนมาให้ผมระลึกถึงอีกครั้งนี่ทำให้ผมได้เห็นเหตุการณ์ที่คล้ายเดิม แต่ในมุมของอีกฝั่ง นั่นคือฝั่งคนบอกเลิก จริงอยู่ว่าเพื่อนผมยังไม่ได้บอกเลิกแฟน แต่ผมหมายถึงว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดทั้งหมดว่าอะไรเป็นอะไร แล้วที่สำคัญคือ เพื่อนผมที่ว่านี่เป็นผู้หญิงที่มีหลายๆอย่างคล้ายแฟนผมที่กลายเป็นอดีตไปแล้วซะด้วย

ผมไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นไง เค้าอาจจะลงเอยด้วยกันอยู่ด้วยกันแบบ happily ever after แต่อย่างน้อย สิ่งที่ผมกำลังมองเห็นอยู่นี้ มันก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจทีเดียว นี่ล่ะมั้งลักษณะของ adolescence ที่เรียนมาตอนเรียนโท มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...