Saturday, December 6, 2008

แล้วคุณเป็นรถแบบไหน

วันนี้วันพ่อ แต่ผมกำลังนั่งทำโน่นนี่อยู่ที่ทำงาน ระหว่างทางมาที่นี่ ผมก็นั่งดูรถผ่านไปมาบนถนนจากเบาะหลังของแท็กซี่ แดดเปรี้ยงๆ คนอื่นเค้าทำอะไรกัน... รถกระบะคันแรกผ่านไป เค้าดูไม่ได้มีฐานะอะไรมากมาย แต่พ่อแม่ลูกนั่งแถวเดียวกันข้างหน้า หัวเราะเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนจะตลกใช้ได้... คันที่สองเป็นเชฟโรเลท คนขับดูแก่ แต่ป้ายแดงอยู่เลย มีป้าอีกคนเหมือนจะช่วยมองทาง ไม่รู้ไปไหน แต่ดูเค้ากำลังใช้สมาธิกับการขับรถทีเดียว... คันที่สาม เป็นรถแท็กซี่ มีคนนั่งเบาะหลัง กำลังจะไปทำงาน มีอาการหิวเล็กน้อย ความขี้เกียจอีกนิดหน่อย แล้วก็ความรู้สึกแปลกๆอยู่ในหัว ใช่ครับ.. คันนี้คือคันที่ผมนั่งเอง

รถทั้งสามคัน อยู่บนถนนเดียวกัน มุ่งหน้าไปทางเดียวกัน แต่ว่าจุดหมายต่างกัน ที่มาต่างกัน ความเร็วต่างกัน อารมณ์ในรถต่างกัน และอื่นๆอีกมากมายที่ต่างกัน ... กลับมานั่งคิดถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านไป สิ่งที่ยังคาๆในหัวก็คงไม่แตกต่างกันกับรถสามคันนี้ ผมเพิ่งคุยกับคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิตผมก่อนผมออกจากบ้าน เป็นบทสนทนาที่บอกตรงๆว่าหลายหลายอารมณ์จริงๆ มีทั้งเจ็บปวด เสียใจ ดีใจ แต่สุดท้ายแล้ว ระหว่างที่นั่งดูรถบนถนน ผมก็รู้สึกว่าชีวิตผมและคนสำคัญคนนั้นก็เหมือนรถบนถนนนี่แหละ ต่างคนก็มีจุดหมายของตัวเอง มีต้นทางและปลายทางที่ต่างกัน ความเร็วในการวิ่งต่างกัน รถที่ใช้ก็คนละแบบ รถผมอาจจะไม่ได้หรูหราราคาแพง ขับไปเรื่อยๆ ช้าบ้างเร็วบ้างไปตามประสา แต่บางคนอาจจะอยากขับรถดีๆราคาแพง เครื่องแรงๆ จุดมุ่งหมายอยู่ไกล ก็อาจจะต้องขับเร็วกว่า ก็แล้วแต่ว่าใครจะมีทิศทางการขับยังไง ไม่มีใครบังคับใครได้ รถแต่ละคันคนขับเป็นคนกำหนดเอง ถ้าขับเร็วแล้วจะเสี่ยงมีอุบัติเหตุ เค้าก็ต้องเตรียมใจและต้องเข้าใจว่า อุบัติเหตุบางครั้ง เค้าอาจจะเจ็บคนเดียว แต่ก็มีอีกหลายครั้ง ที่เค้าอาจจะทำให้คนที่ขับอย่างระมัดระวังเจ็บไปด้วย ความเจ็บที่เกิดขึ้นบางครั้งรักษาให้หายได้ บางครั้งก็อาจจะไม่โชคดีอย่างนั้น ถ้าแย่หน่อย เจ้าตัวก็อาจจะต้องสูญเสียแขนขาไปได้ แต่ถ้าเค้าพร้อมที่จะเสี่ยงเพื่อแลกกับการถึงที่หมายเร็ว หรือเพื่อความสนุกในการขับ มันก็ไม่มีใครบังคับเค้าได้ สิ่งที่คันอื่นๆทำได้ก็คือ ให้ทางกับเค้า แล้วก็รักษาระยะห่างไว้ หรือไม่ถ้าอยากจะสนุกไปด้วย ก็แข่งไปด้วยกัน ตื่นเต้นไปด้วยกัน แล้วไปลุ้นเอาว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า

ตอนนี้นั่งอยู่บนชั้น 28 มองลงไปก็เห็นรถวิ่งไปมาบนถนนเหมือนกัน บางคันขับดี สุภาพ บางคันขับกวนส้นตีน บางคันจอดอยู่ อีกคันถูกลาก มันช่างหลากหลายดีจริงๆ

แล้วคุณเอง เป็นรถแบบไหน... ยังไงก็ขอให้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพทุกคนนะครับ

สุขสันต์วันพ่อครับ

Sunday, November 30, 2008

งานแต่งเพื่อนษา

แล้วเพื่อนก็เป็นฝั่งเป็นฝาไปอีกหนึ่ง ^^

วันนี้เพิ่งไปงานแต่งงานเพื่อนษามา... ผมรู้จักเพื่อนษามาได้สองปีกว่าๆแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เข้าทำงานที่ True Move ด้วยกัน ซึ่งก็บังเอิญว่าเราเข้างานพร้อมกัน และก็บังเอิญมาอยู่แผนกเดียวกัน จึงเป็นเหตุเริ่มต้นล่ะมั้งครับที่ทำให้เรากลายเป็นเพื่อนสนิท แม้วันนี้ผมจะไม่ได้อยู่ที่ True Move แล้ว เราก็ยังเกื้อหนุนกันอยู่ (จะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าษาเป็นคนเกื้อหนุนผมมากกว่า) และผมก็พูดได้เต็มปากจริงๆว่าษาเป็นคนที่ผมไว้ใจได้มากที่สุดคนหนึ่ง... ษาเป็นคนที่ทุกคนเห็นพ้องกันว่าเป็นคนน่ารักโดยธรรมชาติ ถ้าจะมีคนโกรธษาได้ มันต้องเป็นคนที่จิตใจไม่ปกติจริงๆ เพราะไม่ว่าจะยังไง ษาก็เป็นคนที่คนโกรธไม่ลง นั่นก็เป็นเพราะษาไม่เคยทำให้ใครโกรธ คงเป็นเพราะความเป็นคนเข้าอกเข้าใจ ขี้เกรงใจ และอัธยาศัยดีเป็นเลิศ ผมจึงสนุกและรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่คุยด้วยและทำงานด้วยกัน ถ้าวันหนึ่งผมมีบริษัทของตัวเอง รับรองได้เลยว่าผมจะขอให้ษามาช่วย :)

ผมรู้จักเรื่องส่วนตัวษาไม่มากนัก แต่ผมประทับใจที่ษามีแฟนแค่คนเดียวตั้งแต่โตมา และวันนี้ แฟนคนนั้นก็เปลี่ยนบทบาทมาเป็นสามีไปเรียบร้อยแล้ว จะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่โชคดีแบบเพื่อนษาของผม เจอคนรักที่ดีและจริงใจในครั้งแรกที่มีแฟน ถ้าบุญไม่พอจริงๆ คงไม่มีทางนะครับ

ผมดีใจกับเพื่อนผมจริงๆ ไม่ได้มีแกล้งพูดให้ดูดีเลยแม้แต่น้อย งานแต่งงานของเพื่อนษาวันนี้เป็นไปแบบเรียบง่ายแต่เป็นกันเองมาก... มากเสียจนผมยกให้เป็นงานแต่งงานที่ดีที่สุดงานหนึ่งที่ผมเคยไปมา ทั้งๆที่ไม่มีแขกระดับ VIP มาร่วมงานเหมือนงานอื่นๆ ไม่มีการประดับงานแบบสุดยอดอลังการ แต่พอรู้ว่างานเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ผมก็ยิ่งประทับใจไปอีก

ก่อนจะถึงวันงาน พี่ๆน้องๆที่แผนก Partnership ทุกคน รวมทั้งคนต่างแผนก ก็มานั่งช่วยกันเตรียมงาน น้องเดียร์ พี่เอก และอีกหลายๆคน เจียดเวลางานมานั่งเตรียมอุปกรณ์ประดับงาน จัดแจงทุกอย่างคนละไม้คนละมือ พี่ดอนทำ MV ให้ดีเสียจนผมคิดว่าเป็น MV จริงๆ พี่จั๋มก็มาเป็นประธานในงานเป็นครั้งแรกในชีวิต พี่จั้มช่วยถ่ายรูป พี่แนนและพี่แอนเป็นหน้าม้าได้แบบธรรมชาติมาก ดีนะว่ามีความกล้าและบ้าติดตัวมามากพอ ทำให้งานโดยรวมออกมาแล้วรู้สึกได้ว่าทุกๆคนช่วยกันจริงๆ ผมประทับใจจริงๆ และผมก็รู้สึกดีจริงๆที่ได้เคยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Partnership นี้ ใครจะว่าไงผมไม่รู้ แต่นี่ก็คือครอบครัวหนึ่งของผม

ดีใจด้วจริงๆนะเพื่อนษา มีหลานมาให้แกล้งเร็วๆนะเพื่อน ^^

Thursday, November 27, 2008

ออกจากกล่องเล็กๆ ไปอยู่บนฟ้า

คืนนี้เป็นคืนที่สนุกดี ได้ไปนั่งบนยอดตึกตึกหนึ่งกลางกรุงเทพด้วยความบังเอิญ ตอนแรกก็แค่ตั้งใจว่าจะไปเจอเพื่อนเจนและเพื่อนโอ๋ เพราะเพื่อนโอ๋ดันเผชิญเหตุการณ์เลยร้ายหลายอย่างในช่วงไล่เลียกัน ราวกับเจอเบญจเพสทั้งที่วัยก็ล่วงเลยมาระดับหนึ่งแล้ว ตอนที่เจนโทรมาเรียกไปเที่ยว ตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคแบบนี้ "ชิว... ไปเที่ยวกลางคืนกัน โอ๋ request" โอ้.. รู้จักโอ๋มาก็สามปีกว่าๆ โอ๋เป็นคนที่กลับบ้านเร็ว หรือถ้าไม่เร็ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนที่จะชวนเพื่อนๆไปดื่มหรือเต้นอะไรแบบนี้ เข้าใจว่ามันคงอึดอัดมากจริงๆ ด้วยความเป็นเพื่อนที่ดี และเบื่อกับการอยู่แต่ในวงจรยุง (สั้นๆและไม่มีอะไรตื่นเต้น) จึงรับปากไปทันที ทั้งๆที่จนเหลือหลาย

พอมาถึง ตอนแรกกะจะไปนั่งโซนเบียร์สิงห์ ฟัง ดา เอนโดฟิน.. แต่กว่าเราจะมากันครบ พี่ดาคงหลับไปแล้ว เลยต้องเร่รอนไปจนตัดสินใจกันไปจบที่ Red Sky พื้นที่หรูหราบน Centara ลมเย็น เห็นดาวชัดเจน เป็นพิ้นที่ที่ระดับสายตาสูงกว่ายอดตึกอีกหลายๆตึกกลางใจเมืองกรุงเทพ เป็นพิ้นที่ที่ถ้าใช้ตรรกะทั่วไป ก็จะพบว่าไม่เหมาะกับช่วงเวลาใกล้สิ้นเดือนของผมเลย แต่เอาวะ มาแล้ว ไปก็ไป... ผมชอบมากทันทีที่ขึ้นมาถึง มันดูดี ลมเย็น บรรยากาศปลอดโปร่ง คนที่นั่งๆอยู่ดูมีรสนิยม แต่ที่เหนือกว่ารสนิยมคือเค้าดูมีเงิน ไอ้เรามากันสี่คนแรก ได้แต่ถามตัวเองว่า "อะไรเอ่ย ไม่เข้ากับพวก" แล้วคำตอบก็เป็นสิ่งที่เราไม่อยากได้ยินมากนัก แต่พวกเราก็หน้าไม่อายจริงๆ ตอนสั่งไวน์ พี่บ๋อยถึงกับขอหัวเราะออกมาราวกับรู้จักกันมานาน แถุมเค้ามีขอเดินกลับไปหัวเราะกับเพื่อนพนักงานเสิร์ฟ... ไม่เป็นไร ความสุขมีไว้แบ่งปันกัน เราดีใจที่ทำให้คนมีความสุข...

คืนนี้คุยกันไปหลายเรื่อง เรื่องของเราเองบ้าง เรื่องชาวบ้านบ้าง สนุกดี ตลกบ้าง ไม่ตลกบ้าง แต่พอมีไวน์แปลกๆที่ไม่มีใครรู้จักเลยมาร่วมผสม มันก็กลายเป็นคืนดีๆไปได้ง่ายๆ จนกระทั่ง bill ออกมา ใครจะยังตลกอยู่หรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่าชีวิตเศร้าขึ้นมาทันที... -_-"

จบละ... 555 นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้ล่ะสิ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังครับ ช่างเป็น blog ที่ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แต่ผมแค่มีความสุขที่ได้เจอคนหน้าตาคุ้นเคยในเวลาที่ผมเหนื่อย และเบื่อ ขอบคุณเพื่อนเจนเพื่อนโอ๋ และเพื่อนๆอีก 3 ท่านที่ผมจำชื่อได้แน่นอน แต่ขอไม่ระบุ 555 แล้วไว้เจอกันใหม่ครับ คราวหน้าขอเป็นที่ที่ขาได้ทำงานหน่อยก็ดี วันนี้นั่งเยอะเกินไป...

สวัสดีครับ

Saturday, November 22, 2008

Almost the end of the year

หายไปพักใหญ่เลยทีเดียว แหะๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหมดมุขที่จะเขียน เพราะชีวิตช่างเป็นวงล้อที่เรียบง่ายเหลือเกิน ตื่นไปทำงาน กลับบ้านนอน จะมีอะไรหน่อยก็คือการไปเที่ยวอ่างขางกับ MIM ที่เป็นการเอาตัวเองออกนอกวงเวียนนี้ได้ แต่ content ของการเที่ยวผมขอไม่เขียนถึงมากละกันครับ ไม่ใช่ไม่ประทับใจ ความจริงแล้วตรงข้ามเลยครับ เป็นการไปที่เหมือนเทน้ำลงไปบนต้นไม้แห้งๆง่อยๆให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง การไปเห็นไปได้ยินอะไรต่อมิอะไร ถึงจะไม่มีอะไรใหม่เลย เพราะผมไปเป็นครั้งที่ 3 แล้ว แต่ทุกครั้งที่ไปก็รู้สึกดีและแทบเสียน้ำตาทุกครั้ง ปีหน้าจะไปอีก และก็ปีต่อๆไปด้วยครับ

ช่วงนี้เริ่มหนาวแล้ว จะสิ้นปีอีกแล้วเหรอ.. หนึ่งปีที่ผ่านมามันเร็วจริงๆ เร็วจนเหมือนยังไม่ได้ทำอะไรเลย -_-" สิ้นปีปีนี้เปลี่ยนไปนิดหน่อย คงไม่ได้ไปกินอะไรอร่อยๆเป็นพิเศษวันคริสต์มาสอีก จะว่าไปก็นึกไม่ออกเลยเหมือนกันว่าคริสต์มาสกับปีใหม่จะทำอะไร ก็ถ้าไม่กลับไปหาพ่อแม่ ก็คงเที่ยวกับเพื่อน แต่ติดนิดหน่อยก็ที่วันหยุดหมดไปแล้ว ถ้าจะกลับก็คงต้องทำร่างกายให้อ่อนแอ แล้วก็ลาป่วยไป ... เข้าใจมากกว่าปีอื่นๆเลยทีเดียว ที่ว่าลมหนาวมาแล้วมันเหงาเนี่ย ปกติก็ขี้เหงาอยู่แล้ว ปีนี้คงจะต้องอาศัยกำลังใจของตัวเองมากเป็นพิเศษแฮะ แต่จะให้ออกไปเที่ยวนู่นนี่ก็ไม่อยากเหมือนกัน อยากเริ่มเก็บเงินไว้ไปทำอย่างอื่นแล้ว ไหนจะคอนโด และรถ และเผื่อวันนึงแต่งงาน 555 เตรียมล่วงหน้าไปไกลจริงๆ มองไปที่ขั้นที่ 10 แล้ว ขั้นแรกคือการมีแฟนยังไม่บรรลุเลย ประเสริฐจริงๆ...

เห็นมั้ยครับ มันไม่ค่อยมีเรื่องเล่าจริงๆ หรือจริงๆมันอาจจะมีแต่สะกัดออกมาเป็นเรื่องเขียนไม่ได้ ไว้ถ้าไงถ้าวัตถุดิบผมพร้อมแล้วจะกลับมาใหม่นะครับ

นอนหลับให้สบายและขอให้อุ่น ฝันดีทั้งคืนนะครับ :)

Sunday, October 5, 2008

Wonderful weekend

ช่างเป็นศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ที่ยอดเยี่ยมไปเลย... สงสัยว่ากฎแห่งแรงดึงดูดจะใช้ได้แฮะ ผมเริ่มต้นด้วยการไปกินข้าวเย็นกับพี่ๆที่ Mycom ที่ร้าน Tohkai ตรงซอยธนิยะ นานแล้วที่ไม่ได้เจอกันเยอะๆแล้วก็หัวเราะกันแบบหลุดโลกแบบนี้ การหัวเราะนี่มันเป็นยาจริงๆด้วย มันเหมือนห้องย้อนเวลายังไงยังงั้น ผมนึกถึงเมื่อหลายปีที่แล้วที่ผมยังเป็นส่วนหนึ่งของ Mycom และพวกเราทำงานกันแบบบ้าคลั่ง แต่ก็ยังพอจะมีเวลามากินกันแบบกระเพราะรั่วได้ เรื่องกินนี่มันเป็นงานหลักอีกอย่างของพวกเราเลยก็ไม่ปาน ผมเหมือนได้กลับบ้านที่มีพี่ๆเต็มไปหมด เนื้อก็อร่อยนะ แต่ผมว่ามื้อนี้มันไม่ใช่แค่รสชาติ ตั้งใจไว้ว่าต่อจากนี้ไปจะต้องเจอกันบ่อยขึ้น ซักสองเดือนครั้งได้ก็คงจะดี...

หลังมื้อเย็นผมก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆต่อ ก็บังเอิญเจอ"แขน"ด้วย แต่ก็ไม่เป็นไรมาก คุยกันแค่พอเป็นพิธี วันรุ่งขึ้นผมนัดทานมื้อเที่ยงกับเพื่อน MIM... เหมือนกับนานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้เจอสามสี่คนนี้ ผมเหมือนเพิ่งตื่นอีกแล้ว ผมรู้ตัวทันทีเลยว่าผมคิดถึงการใช้ชีวิตแบบสบายๆกับเพื่อนๆเหล่านี้จริงๆ... ที่ผ่านมาผมไปมัวทำอะไรอยู่ ผมมองข้ามคนดีๆรอบตัวเหล่านี้ไปได้ยังไง

พอกินเสร็จผมก็ไปเจอน้องๆ MIM อีกรุ่น ไปดูหนัง Clone Wars มา ถึงจะงีบไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นหนังที่สนุกดี จากนั้นก็ไปหาอะไรกินแล้วก็บังเอิญมีคอนเสิร์ตของ K Bank โอ้.. ได้ดูคิ้ม เบน โก้ แล้วก็โก๊ะตี๋ฟรีๆซะงั้น นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมชอบมาก ใช่แล้วครับ.. ดนตรี ทุกครั้งที่ผมหลุดไปอยู่ในโลกของดนตรี ผมจะหลุดจากพันธนาการทั้งปวงไปด้วยเหมือนกัน ผมสาบานได้เลยว่าถ้าคิ้ม โก้ เบนมีความสามารถพอที่จะเล่นดนตรีโดยไม่หยุดเป็นเวลา 24 ชม.ได้ ผมก็มีปัญญาที่จะนั่งฟังไปเรื่อยๆได้เหมือนกัน (ฟังดูกินแรงชาวบ้านจริงๆ)

เช้าวันนี้ (วันอาทิตย์) เป็นวันที่ผมรอมานาน... งาน Open House ของ MIM ครับ นี่เป็นปีที่ 3 แล้วที่ผมได้เป็น speaker บนเวที มีคนฟังมากมาย บรรยากาศที่คุ้นเคย คนที่คุ้นเคยเต็มไปหมด นี่ก็เป็นบ้านอีกหลังของผมเหมือนกัน (ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมือนคนมีหลายบ้าน) แต่ผมสนุกกับ Open House ทุกๆครั้ง.. ไม่ดิ ผมสนุกกับทุกๆงานที่เป็นของ MIM ต่างหาก วันนี้ก็เจอ"แขน"อีกเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้คุยกันเลย นอกจากกลับบ้านแล้วก็ MSN ไปบอกว่างานที่เค้าเตรียมมาค่อนข้างดี ตกเย็นผมก็ไปนวดที่ปากซอยมา เป็นการนวดที่ดีที่สุดครั้งนึงเลยทีเดียว พี่แกกะว่าจะเหยียบผมให้ตายเลยก็ว่าได้ เจ็บโคตรแต่พอเสร็จแล้วสบายตัวจริงๆ เค้าเองก็คงถูกใจผมไม่น้อย เห็นชมใหญ่ว่า "นี่น้องก็ชอบให้นวดแรงๆเหมือนกันนะนี่ เป็นคนอื่นร้องไปแล้ว" ผมตอบสั้นๆง่ายๆ "พี่ ไอ้ที่ผมไม่ร้องไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกอะไร แค่ร้องไม่ออกครับ" -_-" คราวหน้าตั้งใจแล้วว่าจะนวดกับพี่คนนี้อีก ใครอยากลองก็เชิญได้นะครับ พี่เค้าชื่อพี่พยอม ร้านสะบันงา ปากซอยอารีย์สัมพันธ์ 5 ครับ

ตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว จริงๆแอบคิดอยู่ว่าจะนอนเลยดีมั้ย แต่พอนึกไปนึกมา ถ้ามันนอนอิ่มตั้งแต่ตีสี่เนี่ย ตูจะตื่นมานั่งทำอะไรวะ เลยนั่งดูทีวีไปก่อน อ้อ... เพื่อนโอ๋เพิ่งโทรมาเมื่อกี๊ มันบอกว่าเพิ่งจะรู้ว่าจริงๆผมมี secret admirer เยอะเหมือนกัน ฟังแล้วก็แอบดีใจ ถึงจะพอได้ยินว่ามีคนนั้นคนนี้แอบชื่นชมบ้าง แต่พอมีเพื่อนที่(แม่ง)ไม่เคยมองเห็นจุดนี้ของเรามาบอก ฟังแล้วมันก็แอบหัวใจพองโตไม่ได้ ดีใจๆ ^^ อืม เขียนไปเขียนมาก็ไม่รู้จะเขียนไรต่อแล้ว แค่รู้สึกมีความสุขแล้วอยากจะเล่าให้ใครฟัง

เอาเป็นว่าพอก่อนละกันนะครับ ไว้จะมาเล่าใหม่ ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจใน blog ที่แล้วนะครับ ผมรู้สึกได้ถึงความห่วงใยของทุกคน ผมดีใจที่ผมมีคนดีๆรอบตัวมากมาย ผมจะไม่ลืมเลยจริงๆ เบิร์ดรักทุกคนนะครับ

Tuesday, September 30, 2008

ก็แค่ตัดแขนทิ้ง ชีวิตยังไปต่อไป

สองคืนที่ผ่านมา ใช้เวลารวมๆกว่า 5 ชั่วโมงในการคุยโทรศัพท์ ผมมีเรื่องราวที่ทำให้ต้องรู้สึกแย่มากๆเข้ามาให้ปวดกบาลอีกแล้ว ชีวิตเป็นไรเนี่ย เรื่องน่าเหนื่อยหน่ายเมื่อไหร่จะหมดซะที ในที่สุดวันนี้ผมก็ถึงจุดที่ผมเก็บต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เป็นจุดที่ผมถึงขีดสุด ต้องตัดมันออกไปชีวิตอย่างเด็ดขาด แล้วการตัดอะไรออกไปจากชีวิตแต่ละครั้งมันก็ทำให้ผมต้องน้ำตาตกทุกที แต่ทุกครั้งที่ผมเป็นอย่างนี้ ผมก็รู้ตัวดีว่า อีกแป๊บเดียว ผมก็จะแข็งแรงขึ้นอีก

ผมบอกกับตัวเองมาตลอดหลายๆเดือนที่ผ่านมาว่าผมแข็งแรง ผมไม่เป็นไร ผมเดินต่อไปได้แล้ว ผมไม่อ่อนแอ จนไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมก็รู้ตัวว่าผมคงจะอวดดีมากเกินไป... การค้นพบอะไรที่ไม่ควรจะรู้เมื่อวาน เป็นจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ มันเหมือนเหตุการณ์ในอดีตกลับมาฉายภาพซ้ำต่อหน้า แถมเป็นฉากบังคับดู ปิดตาไม่ได้ ปิดหูก็ยังได้ยิน Reality bites มันหมายถึงอย่างนี้นี่เอง ความจริงบางครั้งมันเจ็บปวดจริงๆ แต่ต่อให้เลือกใหม่ ผมก็ยังเลือกที่จะรู้ คราวนี้หนักกว่าครั้งอื่นๆ แต่ไม่เป็นไร ไม่ตาย เจ็บแค่ไหน ร้องไห้ให้หมดสภาพยังไง พรุ่งนี้ตื่นมา ชีวิตก็จะเดินต่อไป

ผมโทรคุยกับเพื่อนคนนึงนานมาก ทั้งพบความจริงที่ไม่เคยรู้ และยืนยันสิ่งที่ผมเคยสงสัย ผมจุกแอ้กอยู่สักพักแล้วก็รู้สึกดีขึ้น ผมตั้งใจว่าผมจะตัดสิ่งที่ทำร้ายผมออกจากชีวิตในทันที วันนี้ ผมก็ทำอย่างนั้นจริงๆ สิ่งที่เคยสำคัญที่สุด มีความหมายที่สุด รักที่สุด วันนี้ผมตัดมันออกไปแล้ว เหมือนแขนข้างนึง มันกำลังจะเน่า วันนี้ผมเลือกที่จะมีชีวิตต่อไป แขนหายไปข้างไม่เป็นไรหรอก แต่พอตัดไปแล้วจริงๆ ผมกลับเจ็บแฮะ ตั้งแต่เย็นมาผมโหวงเหวงมาก แขนผมหายไปไหน ผมจะทำอะไรได้ยังไง แขน แขน..!! เอาแขนคืนมา.. แล้วก็ถึงจุดที่ผมจุกจนจะอ้วก ผมอยู่เฉยไม่ได้ ผมอยากคุยกับใครสักคน ผมมองดูเบอร์แล้วผมก็เพิ่งจะรู้ว่า เวลาที่ผมต้องการคุยกับใครสักคนจริงๆ คนที่จะรับฟังจริงๆ มันมีไม่มากเท่าไหร่... ผมเลือกโทรหาคนที่เคยโทรมาร้องไห้กับผม เพราะผมรู้สึกสบายใจที่สุดสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ พอโทรไป เจ้าตัวไม่รู้ว่าเกิดไรขึ้น เสียงร่าเริงมาทักทายผมเชียว พอผมยังไม่ทันเล่าอะไร ผมก็ระเบิดออกมาแบบไม่กั๊ก น่าอายจริงๆเลยกู เจ้าตัวตกใจเล็กน้อย มึงไม่เคยโทรหากูเลย พอโทรมา มึงก็โฮใส่กูเลยนะ เค้าคงคิดอย่างนั้น น่าอายสิ้นดี... แต่พอผมหมดก๊อกแล้ว ผมก็สบายใจขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เออ... ร้องไห้บ้างมันก็ดีนะ เก็บไว้อย่างเดียวมีแต่จะจุก ผมรู้ว่านี่แหละ จุดจบของความทุกข์ทั้งปวง ผมสั่งลามันด้วยการร้องไห้ครั้งใหญ่ไปละ ผมจะไม่วกกลับมาเรื่องนี้อีก ผมไม่อยากอ่อนแอแบบนี้อีก ผมร้องไห้ไว้ทุกข์ให้เรื่องน่าปวดกบาลนี้ละ ผมจะไปต่อละ...

ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อให้ผมจบเนี่ย เรื่องกวนใจนี่มันจะจบไปด้วยหรือเปล่า ผมได้แต่หวังว่ามันจะไม่กลับมาอีก บทเรียนนี้แสนแพง ผมจะจำและเรียนรู้จากมัน ผมขอให้มันไม่เกิดขึ้นอีก แต่ต่อให้มันเกิดจริงก็เอาดิ แค่นี้ไม่ตายหรอก จะให้ปวดจี๊ดอีกสิบครั้งก็โอเค เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป

แขนเอ๋ย...ไปดีเถอะนะ

Monday, September 15, 2008

สองวันสองคืนในพัทยา

นานแล้วที่ไม่ได้ไปพัทยาแบบสนุกๆ ครั้งล่าสุดก็คือเมื่อปีที่แล้วที่ผมไปกับ Oreo ตอนนั้นผมยังเป็นแฟนกับหนึ่งใน Oreo อยู่ เป็นการไปที่สนุกมาก และก็เปลี่ยนความรู้สึกที่ผมมีต่อพัทยาไปมากทีเดียว จากเดิมที่ภาพของพัทยาคือเมืองผับ บาร์ ผู้หญิงขายบริการ มันทำให้ผมได้เห็นว่า พัทยายังหมายถึง ร้านอาหารอร่อยๆ บ้านเด็กกำพร้า และความเป็นส่วนตัวอีกด้วย

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้กลับไปพัทยาอีกครั้ง คราวนี้ต่างไปจากเดิม ผมไม่ได้เป็นแฟนกับใครใน Oreo เราทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด แต่ความรู้สึกสนุกที่ได้จากครั้งที่แล้วยังเหมือนเดิม เราได้สัมผัสกับพัทยาในด้านสว่างอย่างเต็มที่ สองวันกับการใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในน้ำและริมสระเป็นการพักผ่อนที่รู้สึกดีมากๆๆๆ การได้กลับไปบ้านเด็กกำพร้าแล้วพบว่าเด็กหลายๆคนที่เราได้เล่นด้วยในปีที่แล้วได้รับการอุปถัมป์ไปแล้ว เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ พวกเราใช้เวลาเล่นกับเด็กไม่มากนักในปีนี้ แต่ผมก็ยังสนุกจริงๆกับการทำให้เด็กๆหัวเราะ ทุกคนเห็นตรงกันว่าผมเก่งในการเล่นกับเด็ก ผมทำให้เด็กหัวเราะได้ง่าย และเด็กก็ชอบมาเล่นกับผม ผมว่ามันเกิดจาก The Secret ของผมมั้งครับ ทุกครั้งที่เล่นกับ เด็กๆเหล่านี้ ผมมีความตั้งใจเดียว คืออยากให้เด็กหัวเราะ มันคงจะกลายเป็นแรงดึงดูดที่เด็กสัมผัสได้ ผมแอบตั้งตารอที่จะกลับมาอีกครั้งในปีหน้า แม้ว่าจะไม่ได้มากลับกลุ่มนี้อีกก็ตาม ผมอยากจะเห็นว่าเด็กๆที่ผมเล่นด้วยในปีนี้ จะมีกี่คนมีคนใจดีมารับไปเลี้ยงดู ผมอยากให้เด็กๆเหล่านี้ได้พ่อแม่บุญธรรมที่ใจดีรับไปดูแล หนึ่งในนั้นอาจจะกลายไปเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่และทำให้ประเทศเราหรือประเทศใดๆก็ตามน่าอยู่ขึ้น แม้ในวันนี้เค้าจะยังงอแงและชอบดึงผมบนหัวของผมยังกะเป็นของเล่นก็ตาม -_-"

blog วันนี้สั้นๆแค่นี้ละกันครับ แค่อยากจะบอกว่าผมมีความสุขมากกับการไปพัทยาครั้งนี้ ไว้เดี๋ยวได้รูปแล้วจะเอามาลงให้ดูนะครับ

Thursday, August 28, 2008

18 อย่างที่บอกว่าคุณกำลังรักใครอย่างจริงจัง

มีคนเขียนไว้ว่า ถ้าคุณมีลักษณะ 18 อย่างต่อไปนี้กับใครสักคน คุณกำลังตกหลุมเค้าอย่างจริงจัง และคนๆนั้นคือรักที่คุณตามหา... ผมเองยังไม่เคยมีครบทั้ง 18 อย่างให้กับใคร แต่ผมเคยให้คนคนหนึ่ง 15 ข้อกว่าๆ... กว่าๆคือมันพูดไม่เต็มปากว่าจริง แต่ 15 ข้อที่ว่านี่ตรงแน่นอน

ลองดูนะครับ ว่าคุณเองเคยรักใครแล้วมีครบทั้ง 18 ข้อหรือเปล่า ถ้ามี...ดูแลคนๆนั้นๆให้ดีๆนะครับ

1. You are comfortable and secure in your relationship. You trust that your partner won't hurt you and there is no need of suspicion or jealousy.
2. You have remained together through good times and bad.
3. Thoughtful things are done just because it makes both of you feel good.
4. Neither of you make sacrifices, only compromises.
5. Your significant other has told you of their deep feelings, and they are returned.
6. Your affections for your partner make you feel special and good about yourself.
7. When there is a fight, you usually make up after only a few hours and agree that nothing is more important than both of you expressing your true feelings, even if they cause conflict.
8. You and your partner feel no need to test each others feelings or loyalties.
9. You can be yourself when with your partner more so than anyone else.
10. You've forgotten your ex.
11. You can't stop thinking about your partner.
12. You care about your significant other more than anything.
13. You find your partners quirks charming.
14. You have great chemistry.
15. You don't notice others as much.
16. You love spending time together.
17. Other priorities take a backseat.
18. You start thinking about your future together.

Monday, August 18, 2008

Sydney and me (Part II) - House on the Hill

ประสบการณ์หนึ่งปีใน Sydney ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงทั้งด้านความคิดและมุมมองต่อสิ่งเดิมๆ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างทั้งทางตรงและทางอ้อม หลายอย่างเป็นการฝึกให้ผมมีความอดทนและหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ ลองมาดูกันว่าหนึ่งปีในเมือง Sydney ของผมมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง วันนี้ขอเริ่มจากเรื่องบ้าน...

บ้านที่ผมอยู่ด้วยนั้นอยู่บนยอดเขาโดดๆ เป็นเขาที่ครอบครัวนี้ไปซื้อไว้ ถ้ามองลงไปจะเห็นมีลำน้ำเล็กๆอยู่ สามารถไปพายเรือเล่นได้ ต้นไม้เต็มไปหมดทุกทิศทาง บ้านหลังนี้ dad กับ mum สร้างขึ้นเอง โดยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อ Patrick เป็นคนช่วย ทุกส่วนในบ้านทำเองหมด แต่ด้วยความที่มันอยู่ไกล บ้านนี้จีงไม่มีไฟฟ้าใช้ครับ หมายถึงว่าไฟฟ้าที่ลากสายไฟเข้ามาเนี่ย...ไม่มี ดังนั้นพลังงานในบ้านจึงมาจากแผ่น solar cells และเครื่องปั่นไฟล้วนๆ เราจะดีใจกันมากที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าวันนั้นแดดออกเปรี้ยงๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะเก็บไฟไว้ใช้ได้อีกหลายวัน ถ้าวันไหนแดดแรงหน่อย พวกเราก็จะได้ดูทีวีจนดึกกว่าวันอื่นๆที่ท้องฟ้าปิด

แต่ด้วยความที่มันธรรมชาติสุดๆนี่เอง พวกเรามักจะมีเพื่อนบ้านที่ไม่ได้รับเชิญอยู่หลายครั้ง... ผมเองเป็นคนที่กลัวงูแบบสุดขั้ว มีวันหนึ่งกลับบ้าน mum เปิดถังให้ดูและพบว่ามีงูดำตัวเท่าแขนผมยาวเฟื้อยนอนตายอยู่ในนั้นโดยที่หัวมันระเบิดไปแล้ว มารู้ทีหลังว่า Mark ได้ยินหมาเห่าจึงดูจากหน้าต่างแล้วเห็นมีงูอยู่ Mark จึงไปหยิบปืนมาเล็งยิง ปรากฏว่านัดเดียวอยู่เลย... หรือจะอีกครั้งก็คือมีอยู่คืนหนึ่ง ผมกำลังนอนหลับอยู่ จู่ๆก็มีเสียงดังลั่นที่กำแพงฝั่งที่ผมนอนอยู่ ผมตกใจตื่นดูหน้าต่าง เห็นเงาตะครุ่มๆกระโดดๆไป มารู้ตัวก็ตอนที่ dad ออกมาดูแล้วก็บอกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆว่า มันคือจิงโจ้นั่นเอง นานๆครั้งก็จะมีจิงโจ้ออกมากระโดดเล่นแล้วด้วยความมืด มันคงไม่เห็นกำแพงบ้าน เลยอัดเข้าไปดังโครมขนาดนั้น ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จิงโจ้ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม เหมือนการเห็นหมาในบ้านเราล่ะครับ เพราะมันเยอะใช้ได้ทีเดียว สักพักๆมันก็จะออกมากระโดดแข่งกับรถระหว่างที่เราขับออกไปถนนใหญ่ เห็นมันกระโดดๆแล้วก็รู้สึกประหลาดดีเหมือนกัน ถ้าคุยกันรู้เรื่อง ผมคงจะถามพวกมันว่า "เหนื่อยมั้ย?"

การที่บ้านอยู่บนเขาขนาดนั้นทำให้พวกผมได้ฝึกการเดินแบบ intensive course เลยทีเดียว... ผมและเด็กๆต้องเดินวันละ 7 กิโลเมตรเพื่อไปและกลับจากโรงเรียน อ้อ... ยังครับ เดิน 7 กิโลเพื่อไปและกลับจากรถโรงเรียนอีกทีครับ การเดินไม่ใช่การเดินถนนลาดยางที่มีต้นไม้ปกคลุมร่มรื่นซะด้วย พวกเราเดินกันทั้งบนดิน ทราย หินและถ้าช่วงไหนฝนตกก็ต้องบวกโคลนไปด้วย... 12 เดือนที่อยู่บ้านนั้น ทำให้ผมได้ฝึกความอดทนและฝึกร่างกายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วงแรกๆผมเหนื่อยและอยากจะย้าย host มาก แต่พอผ่านไปสักพัก ผมพบว่าผมมีความอดทนมากขึ้น สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจตลอดเวลาระหว่างที่เดินก็คือ "เดี๋ยวมันก็ผ่านไป" "อีกแป๊บก็ถึง" และ "หยุดตรงนี้แล้วมึงจะถึงบ้านได้ไง" พอเรากลั้นใจเดินไป เดี๋ยวมันก็ถึงจริงๆ ตั้งแต่นั้นมา ผมพบว่าผมเป็นคนใจเย็นมากขึ้น ผมยอมที่จะรอเพื่ออะไรๆได้โดยที่ไม่หงุดหงิดโวยวาย และตั้งแต่นั้นมา หลายๆคนที่รู้จักผมก็มักจะทักว่าผมเป็นคนใจเย็น ทั้งๆที่ตอนเด็กผมเอาแต่ใจและอารมณ์ร้อนสิ้นดี

ความสนุกอีกอย่างก็คือการที่เราใช้วันหยุดเดินลงไปพายเรือเล่นที่ลำน้ำข้างล่าง ถ้าคุณเคยดูหนังฝรั่งที่มีธรรมชาติสวยๆ มีเขาล้อมรอบ น้ำใสๆเย็นๆเห็นตัวปลา ว่ายวนไปมาน่าเอ็นดู มีฝรั่งชายหญิงพายเรือเล่นกัน หน้าตายิ้มแย้ม นั่นละครับ! อารมณ์นั้นเลย ผมกับเด็กๆมักจะลงไปเล่นน้ำ พาย canoe และก็อาศัย sausage ของใครที่ตามที่พาเราลงไปเพื่อประทังชีวิต มันเป็นความสงบ ร่มรื่นที่แสนสบายใจจริงๆ รู้เลยว่าทำไมทาร์ซานชอบอยู่ป่า เพราะอากาศมันเย็นสบาย สดชื่นดีจริงๆ

เป็นไงครับ เรื่องแรก..? ถ้ายังไม่เบื่อไปซะก่อน รออ่านเรื่องต่อไปเร็วๆนี้ครับ

Saturday, August 16, 2008

Sydney and me (Part I)

ผมเองมีความ"อยาก"ตั้งแต่เด็กที่จะต้องไปอยู่เมืองนอกให้ได้ แม้จะไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจ แต่ผมรู้ตัวดีว่า"เข็มทิศชีวิต"ของผมจะต้องพาผมไปจนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จนกระทั่งผมขึ้นม.ปลาย โอกาสนั้นก็มาถึงจนได้

ผมสอบ AFS 2 ปีติดต่อกัน ปีแรกผมสอบผ่านข้อเขียนแล้ว แต่ผมเปลี่ยนใจไม่ไปสัมภาษณ์ซะงั้น เหตุผลหนึ่งคือประเทศที่เลือกไปได้ไม่น่าสนใจ อีกเหตุผลคือผมเกิดกลัวการไปอยู่คนเดียวขึ้นมากระทันหัน และเหตุผลสุดท้ายคือติดเพื่อนและแฟน... แต่หลังจากที่เห็นเพื่อนไปกันแล้ว จึงมาสำนึกว่า ไม่น่าปล่อยให้ความฝันนั้นหลุดมือไปเลย ทั้งๆที่ตั้งใจดิบดีแล้วแท้ๆ จากตอนนั้นเองผมเลยตั้งความหวังไว้ว่าปีต่อมาผมจะต้องสอบอีกและคราวนี้ยังไงก็ต้องไปให้ได้

หนึ่งปีหลังจากนั้นผมทุ่มเทเต็มที่ โชคดีที่ผมเองมีพื้นภาษาที่ค่อนข้างโอเค แม้จะไม่ได้เลิศเลอ แต่ก็พอเอาตัวรอดได้สบายๆ ผมท่องศัพท์เองทุกวันวันละ 20 คำแบบสะสมไปเรื่อยๆ หมายถึงว่า วันนี้ท่องได้ 20 พรุ่งนี้เอาอีก 20 แต่ของเก่าต้องได้ด้วย จนผมรู้ตัวอีกที ผมซัดไปน่าจะเกือบๆพันคำภายในเวลาไม่นาน ในขณะเดียวกันผมต้องเตรียมตัวโดยการไปเรียนรำดาบเพื่อสอบสัมภาษณ์ด้วย ผลลัพธ์ก็คุ้มค่ากับความตั้งใจจริงๆ ผมได้ที่หนึ่งของคนที่เลือกประเทศออสเตรเลีย และแน่นอนครับ ไม่นานหลังจากนั้น ผมก็ต้องจากบ้านเกิดไปอยู่ต่างถิ่น ดินแดนแห่งจิงโจ้ แผ่นดินที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล

ทุกคนที่ไปจะได้อาศัยกับ host ที่เป็นอาสาสมัครซึ่งคนเหล่านี้รับนักศึกษามาอยู่ด้วยและดูแลเหมือนคนในครอบครัว ผมเองจะแตกต่างกับคนอื่นหน่อย ตรงที่ผมได้ host วันก่อนบินเพียงวันเดียว... พ่อแม่ ญาติๆลุ้นยังกะผมจะไปแข่งโอลิมปิค ผมเองลุ้นยังกะจะไปต่างดาว พอๆกันเลยบ้านนี้ แถมที่แตกต่างอีกข้อก็คือ ครอบครัวนี้เป็นชาว Irish ครับ... สำหรับผมแล้ว ยังกะได้ไปต่าวดาว 2 ดวงในการบินเที่ยวเดียว คุ้มจริงๆ

ครอบครัวนี้น่ารักมากๆครับ Dad กับ Mum เป็นชาว Irish ที่โตใน Ireland เลย ดังนั้นภาษาจะมีสำเนียงของชาว Irish ขนานแท้ ในขณะที่ลูกๆมาโตที่นี่ รวมทั้งบางคนก็เกิดที่นี่ เลยมีสำเนียง Aussie แบบเต็มตัว... บ้านนี้มีลูก 4 คนครับ Mark, Michelle, Karren และ Greg เป็นเด็ก 4 คนที่อายุไล่เลี่ยกับผมหมด ดังนั้นผมจึงไม่มีปัญหาในการเข้ากับลูกๆเลย จะมีบ้างก็ที่ Mark ชอบทำตัวอวดเก่ง เป็นพี่คนโต จนหลายๆครั้งผมก็พูดใส่หน้ามันเป็นภาษาไทยเลยว่า "เออ มึงเก่ง... อย่ามาเมืองไทยละกัน" หรือบางครั้ง Michelle ก็ชอบทำตัวเป็นสาวเปรี้ยว จนผมแอบเขินไม่ได้ อย่างเช่นวันแรกที่ผมตื่นมา ผมออกมานั่งกินกาแฟ Michelle เดินออกมาโดยมีแค่บราและกางเกงในตัวจิ๋ว...โอ้ ต่างแดนนี่มันมีดีอย่างนี้นี่เอง ผมคิดในใจ...

ตลอดหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่ มีเหตุการณ์และเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ผมกล้าพูดได้เลยว่า ถ้าคุณผู้อ่านรู้ว่าผมผ่านอะไรมาบ้างคงต้องแอบทึ่งผมบ้างไม่มากก็น้อย แต่เอาเป็นว่าขอเป็น blog หน้าละกันนะครับ วันนี้ขอเกริ่นๆแค่นี้ก่อน

ราตรีสวัสดิ์ครับ


ตอนไปปีนเขากับ AFS
Chyu, Sono, Satoko



วิชาที่ผมชอบเรียนที่สุด... Drama



ตอนไปเที่ยว Safari 17 วันครึ่งประเทศ



กลางทะเลทรายที่อยู่ตรงกลางของประเทศพอดี

Thursday, August 14, 2008

Lingkoon

สังเกตุ blog ของตัวเองแล้วเห็นว่ามันหนักเหมือนกันแฮะ ช่วงหลังๆนี่ เลยกะว่าจะมาเขียนเรื่องเบาๆบ้าง ไหนๆวันนี้ก็มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งค่อนข้างเยอะ เลยเอามันนี่แหละเป็นเหยื่อ ฮ่าๆๆ เพื่อนคนนี้ชื่อหลิงครับ

หลิงเป็นเด็กน้อยเพศหญิงนำเข้ามาจากมาเลย์เซียที่บังเอิญพูดไทยได้ดี หมายถึงว่าคำไหนที่พูดก็พูดได้ชัดสื่อความหมายถูก แต่คำไหนที่พูดไม่ได้ หลิงก็จะพูดเป็นภาษาอังกฤษไปเลย ดูอินเตอร์ดีนะครับ ผมรู้จักกับหลิงตอนที่ผมทำงานที่ MovieSeer หลิงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมสนิท และเราก็สนิทกันเร็วมากเพราะอย่างแรกคือหลิงเป็นคนสนุกสนาน หัวเราะได้ทั้งวัน ตอนแรกๆผมคิดว่าเค้าเพี้ยนๆ แต่หลังๆผมค้นพบว่า เออ ผมเองก็เพี้ยนระดับหนึ่ง เราเลยเข้ากันได้ดี ไม่รู้ว่าน่าดีใจมั้ย...

ผมเองทำงานที่ MovieSeer ได้แค่ช่วงสั้นๆ แล้วบังเอิญโชคชะตาก็พาระหกระเหินไปสู่บ้านใหม่อย่าง True Move แต่สถานะจากเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้ทำให้เราเลิกติดต่อกัน ผมเปลี่ยนหลิงจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งไปแทน จนเมื่อกี๊ ผมบอกหลิงว่าผมจะเขียน blog เกี่ยวกับมันนะ หลิงบอกว่า เออแปลกใจเหมือนกัน เพราะไม่เคยคิดว่าผมมองหลิงเป็นเพื่อนสนิท นึกว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้นเอง ผมก็ได้แต่ตอบหลิงไปว่า ช้าไปละ ถึงจังหวะนี้จะเลิกเป็นเพื่อนสนิทกันก็คงไม่ทันละ ซวยละมึง...

สาเหตุหลักอันนึงที่ทำให้เราสนิทกันมากช่วงนี้คงเป็นเพราะเราผ่านอะไรมาคล้ายๆกันนิดหน่อย ช่วงที่ผมตกต่ำมากหลิงนี่แหละที่ผมคุยด้วยเยอะที่สุด และทุกครั้งที่คุยก็จะรู้สึกดีขึ้นได้ท้นที หลิงให้มุมมองของคนที่ผ่านมาก่อน แม้หลิงเองจะอยู่ในสถานะของอีกฝั่ง คือการเป็นคนบอกเลิกกับแฟน แต่มันทำให้ผมเข้าใจถึงสาเหตุของสถานการณ์ที่คนบอกเลิกก็ต้องเจอ ผมเข้าใจเลยว่า จริงๆมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันสำหรับเด็กอินเตอร์ที่จะมารับคนกึ่งไทย กึ่งจีน และมีเศษเสี้ยวของความคิดนอกคอกแบบผมได้ แล้วพอคุยเรื่องหนักๆกันไปสักแป๊บมันก็จะลงเอยด้วยการเล่นตลกคาเฟ่ผ่าน MSN ไปทันที แล้วอารมณ์ที่กำลังย่ำแย่ของผมก็จะกลายเป็นอารมณ์ร่าเริงหายโศกไปในบัดดล

ผมว่านี่ล่ะมั้งที่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมยกระดับความเป็นเพื่อนร่วมงานของหลิงให้กลายเป็นเพื่อนสนิท เหตุผลง่ายๆเลยครับ หลิงช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลาแย่ๆไปได้ในเวลาที่ผมต้องการคุยกับใครสักคน ในขณะเดียวกัน วันที่หลิงมีอาการแย่ๆ หลิงก็โทรมาร้องไห้กับผมเหมือนกัน (Sorry I have to mention about you crying, but it helps with the explanation.) คุณผู้อ่านลองนึกถึงการที่มีใครสักคนเวลาที่คุณล้มคอยช่วยพยุงคุณให้เดินต่อไปได้ เค้าสำคัญกับคุณมั้ยครับ...

หลิงเคยตั้งฉายาให้กับผมว่า ผมเป็น Piggy ในเรื่อง Chicken Little อ้อ คือตอนนั้นผมยังอ้วนกว่าตอนนี้เยอะอ่ะครับ ผมยังนึกไม่ออกจนถึงวันนี้ว่าจะตั้งฉายาอะไรให้หลิงดี เอาเป็นว่า แกก็เป็นหลิงคุนต่อไปละกัน

I'll see you next week dude.

ปล. เอารูปมาให้ดูครับ หลิงคุนกับแฟน เป็นคู่ที่น่ารักดีนะครับ

Wednesday, August 13, 2008

Head or heart...?

มีคนๆหนึ่งบอกผมว่าเวลาเรารักใครมันเป็นเรื่องของหัวใจ อย่าไปยึดติดกับเหตุผลใดๆ เพราะความรักมันอาจจะอธิบายด้วยเหตุผลใดๆไม่ได้เลย ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะผมโตมากับวิทยาศาสตร์มั้งครับ ไม่รู้ดิ แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้าคนเราไม่มีเหตุผลในการที่จะรักใครเลย หรือไม่"คิด"ให้ดี วันหนึ่งถ้าความรู้สึกเปลี่ยน ความรักนั้นมันจะคงทนได้ยังไง

สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันน่าจะมีทั้งสองอย่างเพื่อให้มันเกิดการคานกัน ตัวอย่างเช่น ตอนที่คุณรู้สึก in love มากๆ คุณก็ให้หัวใจทำงานไป แต่ตอนไหนที่คุณรู้สึกเบื่อๆหรือต้องการมองหาอะไรใหม่ๆที่มันตื่นเต้น คุณอาจจะต้องลดความสำคัญของหัวใจลง แล้วให้สมองทำงานแทนไปก่อน เพราะเมื่อเรามองถึงข้อดีต่างๆนานาของคนที่เรารักแล้ว ผมว่าเมื่ออารมณ์ว้าวุ่น เบื่อหน่ายต่างๆผ่านไป ความสัมพันธ์มันก็จะได้ยังคงอยู่ สำหรับผมแล้ว อารมณ์พวกนี้มันอาจจะบังคับกันไม่ได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้มันมีบทบาทเหนือการควบคุมของเรา เราอาจจะต้องเสียใจกับสิ่งที่เราทำไปตลอดไปเลยก็ได้ จริงมั้ยครับ



ที่ P&G เองก็มีอะไรคล้ายๆกัน นั่นคือโปรแกรม work-life balance ที่เป็นหลักสูตรที่พนักงานของ P&G ต้องเข้า (ตามที่เพื่อนผมบอกมาอีกที) หัวใจของหลักสูตรนี้คือ ต่อให้คุณมีความตั้งใจจะทุ่มเทกับงานแค่ไหน คุณก็ต้องมีอย่างอื่นด้วยเหมือนกัน โอเค มันอาจจะไม่เหมือนกับเรื่องที่ผมเล่าก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่ผมต้องการบอกก็คือ ผมว่าทุกๆอย่างมีส่วนตรงข้ามของมันอยู่ อะไรก็ตามที่มันต้องมาด้วยกันแต่อาจจะขัดกันโดยธรรมชาติ สิ่งที่ท้าทายและจะเป็นจุดวัดของคนที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ... ใคร balance มันได้ดีกว่ากัน

พอย้อนกลับไปถึงหัวข้อตั้งต้นของผมอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าผมก็ยังมีอะไรต้องปรับแก้อีกเยอะ มันคงไม่มีสูตรตายตัวด้วยซ้ำที่จะยื่นให้ใครแล้วจะทำกันได้ดีทุกคน แต่นั่นคงจะเป็นเสน่ห์ของการเรียนรู้มั้งครับ

ถ้าวันหนึ่งผมประสบความสำเร็จ ผมจะมาแบ่งปันให้ได้ทราบกันอีกทีครับ

Tuesday, August 12, 2008

จบไปอีกหนึ่งรุ่น

เวลาเดินเร็วจริงๆเลยนะครับ ว่ามั้ย? บางอย่างพอเราเผลอแป๊บเดียว มันก็ผ่านไปเป็นปีๆโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวเลย... ล่าสุด รุ่นน้องผมที่ MIM ก็จบไปอีกหนึ่งรุ่นแล้ว รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ผมสนิทด้วยที่สุด ผูกพันมากที่สุด แล้วก็เห็นกันมาตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว รุ่น 20 กับผมถือว่ามีความผูกพันเยอะเพราะอย่างแรกเนี่ย ผมเป็นรุ่นพี่ที่คอยดูแลตอนที่รุ่นนี้เข้ามาใหม่ๆ ผมเป็นพี่เลี้ยงให้กับน้องกลุ่มหนึ่งตอนที่มี team building จากนั้นก็เนื่องจากว่ารุ่นนี้ชอบออกไปเที่ยวกันบ่อยๆ ก็เลยสนิทกันเร็ว แต่สาเหตุสำคัญก็คงต้องบอกว่าเป็นเพราะผมดันมีแฟนเป็นคนในรุ่นนี้ซะด้วย ตลอดสองปีกว่าๆที่ผ่านมา ผมเลยกลายเป็นคนในรุ่นคนหนึ่งไปโดยปริยาย แล้วเพื่อนๆผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆแล้วผมอยู่รุ่นไหนกันแน่

ล่าสุดการไปงานรับปริญญาก็เป็นสิ่งที่ทำให้ใจหายเหมือนกัน เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งแต่งชุดครุยมาถ่ายรูปกับเพื่อนๆเอง พอกระพริบตาผ่านไปไม่กี่แสนครั้ง รุ่นนี้ก็มารับต่อละ เร็วจริงๆ



ขอเอาอีกรูปมาแปะ เป็นรูปของรุ่นพี่และ staff ของโครงการครับ



แล้วก็แถมท้ายด้วยรูปที่ขโมยมาจากเว็บของน้องๆ







Friday, August 1, 2008

มองไปรอบๆตัว...

สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมและหลายๆคนรอบตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาคือ การเลิกกัน... ใช่ครับ การเลิกกันมีมาตั้งแต่ก่อนผมเกิด เรียกว่าย้อนไปตั้งแต่ยุคก่อนที่จะมีอารยธรรมซะอีกก็คงจะว่าได้ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าบังเอิญมันเกิดกับตัวผมเองด้วย เลยทำให้ผมอยู่ในอาการ selective perception นั่นคือเลือกที่จะมองสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง หรือสิ่งที่อยู่ในความสนใจอยู่ในขณะนั้น แต่ผลลัพธ์ก็คือ ผมสังเกตว่ามีคนเลิกกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีอีกหลายคนที่กำลังจ่อคิวอยู่ด้วย

สาเหตุที่ทำให้ผมถึงกับต้องเขียนถึงเรื่องธรรมดาๆอย่างนี้ก็คือ การที่หลังๆนี่การเลิกกันเริ่มมีเหตุผลที่ซับซ้อนมากขึ้น หรือถ้าจะให้เอาให้ตรงไปตรงมากว่านั้น มันคือการมีเหตุผลน้อยลงครับ... สิ่งที่ผมได้ยินจากการเลิกกันในยุคก่อนๆคือ การที่คนสองคนอยู่ด้วยกันแต่เข้ากันไม่ได้จริงๆ ทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนทางออกเดียวคือการแยกกันอยู่ หรือการที่สังคมหรือพ่อแม่ไม่ยอมรับ อะไรประมาณนี้ แต่สิ่งที่เกิดหลังๆ โดยเฉพาะช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ก็คือ การที่คนสองคนยังรักกันอยู่แต่จำเป็นต้องเลิก... นี่แหละที่ผมบอกว่ามันซับซ้อน ก็ไอ้ความจำเป็นนี่แหละ ที่บางทีเราต้องอาศัยความพยายามพอสมควรเพื่อที่จะเข้าใจความจำเป็นที่ว่านี่ ซึ่งหลังจากที่โดนกับตัวเองแล้ว ตอนนี้... ผมกำลังอยู่ในสถานะการเป็นที่ปรึกษาให้กับเพื่อนสนิทผมอีกหนึ่งคนที่กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองในการตัดสินใจว่า"ความจำเป็น"นี้ จะมีผลต่ออนาคตของความสัมพันธ์อันดีของตัวเองหรือไม่

ความจำเป็นที่ว่านี้ มันมาในหลายรูปแบบของคำอธิบาย สิ่งที่ผมเผชิญคือ การอยากเป็นตัวของตัวเอง การอยากทำอะไรที่ตัวเองอยากทำอย่างเต็มที่ ซึ่งผมขอไม่พูดถึงกรณีของผมเองนะครับ เอาเป็นว่า ผมเข้าใจคำอธิบายและผมก็ติดตามผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า แล้วผมก็พอจะเข้าใจละว่าอะไรเป็นอะไร แต่สำหรับของเพื่อนผม การที่เหตุการณ์มันเหมือนย้อนมาให้ผมระลึกถึงอีกครั้งนี่ทำให้ผมได้เห็นเหตุการณ์ที่คล้ายเดิม แต่ในมุมของอีกฝั่ง นั่นคือฝั่งคนบอกเลิก จริงอยู่ว่าเพื่อนผมยังไม่ได้บอกเลิกแฟน แต่ผมหมายถึงว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดทั้งหมดว่าอะไรเป็นอะไร แล้วที่สำคัญคือ เพื่อนผมที่ว่านี่เป็นผู้หญิงที่มีหลายๆอย่างคล้ายแฟนผมที่กลายเป็นอดีตไปแล้วซะด้วย

ผมไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นไง เค้าอาจจะลงเอยด้วยกันอยู่ด้วยกันแบบ happily ever after แต่อย่างน้อย สิ่งที่ผมกำลังมองเห็นอยู่นี้ มันก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจทีเดียว นี่ล่ะมั้งลักษณะของ adolescence ที่เรียนมาตอนเรียนโท มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...

Sunday, July 20, 2008

ความสุขง่ายๆที่อัมพวา (ย้ายมาจาก Multiply)

นานแล้วครับที่ไม่ได้แวะมาเขียนอะไรเลยที่ Multiply จริงๆผมไม่ได้หายไปไหน ผมแค่ย้ายสัมมโนครัวไปอยู่ที่ Facebook เป็นหลัก ใครที่อยู่ทั้งสองที่คงจะเห็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต แต่บน Facebook ไม่ค่อยมีญาติสนิท มิตรสหายมาสนใจสักเท่าไหร่ ผมเลยเริ่มกลับสู่บ้านหลังเดิมที่มีคนให้การต้อนรับดีกว่า วันนี้เลยอยากมาเขียนอะไรนิดหน่อยครับ :)

สองอาทิตย์นี้ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสบ้านนอกมา จะว่าไปก็ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพสักเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกผิดกันลิบลับ ผมไม่รู้ว่าจริงๆทำไมต้อง"อัมพวา" เพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่าเป็นเพราะละครทีวีที่ทำให้ที่นี่ดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน ครั้งแรกที่ผมไปคืออาทิตย์ก่อน ซึ่งผมไปตอนกลางวันเลยไม่ได้สัมผัสความเป็นอัมพวาอย่างที่หลายๆคนมาแสวงหา แต่ล่าสุด...ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ผมมีโอกาสได้กลับไปอีกครั้ง และครั้งนี้แหละที่ผมว่าผมได้สัมผัสความเป็นอัมพวามากกว่าใครๆอีกมากมาย...

การเดินทางครั้งนี้ผมไปกับเพื่อนๆที่ทำงาน เป็นการไปเที่ยวสั้นๆ แค่หนึ่งวันหนึ่งคืน เริ่มเดินทางบ่ายวันศุกร์ครับ กว่าจะไปถึงก็เย็นๆแล้ว เลยไม่รีรอ รีบดิ่งไปที่ตลาดน้ำยามเย็นเลย




โอ้โห แม่เจ้า... คนยังกะพันธมิตรมดเพื่อขุมน้ำตาล คนเยอะอะไรจะขนาดนั้นครับพี่น้อง แตกต่างกับอาทิตย์ก่อนโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คน คน คน... แย่งกันเดิน แย่งกันกิน แย่งกันหายใจ แต่ไหนๆมาแล้วก็ต้องฝ่าเดินมันไป ทั้งๆที่เป็นที่เดิมที่เคยมาแค่เจ็ดวันก่อน แต่ทุกอย่างมันช่างแตกต่างกันครับ ไม่น่าประทับใจเลย ดีว่าครั้งก่อนเดินมันทุกมุมแล้ว เลยไม่รู้สึกพลาดอะไรไป
หลังจากที่เหนื่อยกับฝูงพันธมิตรแล้ว ก็เลยกลับบ้านครับ ซึ่งบ้านเนี่ย เป็นของญาติของพี่คนหนึ่งที่บริษัท มาอาศัยเค้าอยู่ครับ เป็นชีวิตแบบวิถีไทยจริงๆ ผมได้กลับมาอาบน้ำตุ่มแบบที่ไม่เคยมาแสนนาน และเนื่องจากว่าบ้านมันติดแม่น้ำ คราวนี้เลยแก้ผ้าอาบน้ำหน้าบ้านตรงข้างแม่น้ำเลย เย็นสบายและรู้สึกอยู่กลางธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูกครับ

Hilight ของการเดินทางนี้อยู่ที่การพายเรือดูหิ่งห้อยตอนกลางคืน... เนื่องจากว่าคนที่มาก็ไม่ได้มีใครเป็นเด็กต่างจังหวัดเลย ผมเลยต้องอาสาเป็นมือพายของเรือไป... เราพายกันไป 2 ลำ แบ่งคนเท่าๆกัน ดีว่าพี่ที่คุมท้ายเรือผมเค้าพายเป็น ไม่งั้นผมคงพายเรือวนไปวนมา หรือไม่ก็ไม่ไปไหนเลย น่าอายจริงๆ... ผมจำเวลาที่เราพายกันไม่ได้ แต่รอบข้างมืดสนิท อากาศก็น่าจะเย็นสบายนะครับ ที่ผมไม่แน่ใจและใช้คำว่า"อาจจะ"เนี่ยเป็นเพราะว่าการพายเรือทำให้ผมเหงื่อท่วม ผมเลยไม่รู้ว่าจริงๆอากาศมันเป็นยังไง แต่เท่าที่ดูจากคนอื่นๆ อากาศมันคงจะดีอ่ะครับ เห็นนั่งกันสบาย คุยกันสนุก -_-"




เราไปกันแบบลูกกรุงมากๆ เจอหิ่งห้อยกระพริบตัวเดียวก็ตื่นเต้นกันแล้ว แถมมีเพื่อนคนหนึ่งคิดว่าหิ่งห้อยต้องอยู่กับต้นลำพู เพราะงั้น ไม่ว่าคืนนั้นจะเจอต้นไม้อะไร เธอจะต้องเรียกมันว่าต้นลำพูหมด ขำจริงๆครับ...


การพายเรือคืนนั้นทำให้ผมรู้สึกสงบมาก ผมอธิบายไม่ถูก สงสัยเป็นเพราะบรรยากาศที่มันเงียบสงบมั้งครับ หรือเป็นเพราะความมืด หรือเป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่การไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบไม่มีร่องรอยความเจริญอะไรเลยนี่มันเป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ เหมือนกับเวลามันไม่ได้เดินไปไหนเลย ผมไม่รู้ว่าผมพายเรือไปนานเท่าไหร่แล้ว ผมก็แค่พายไปเรื่อยๆ ดูหิ่งห้อยตัวแล้วต้วเล่ากระพริบแสง บินจากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง บางตัวหลงมาเกาะเพื่อนผม เลยโดนทำโทษเป็นการยิงแสงแฟลชใส่ซะ แต่มันช่างสงบจริงๆ สงบจนผมรู้สึกว่า ถ้าผมหลงทาง พายกลับไม่ถูก ผมก็แค่เอนตัวนอนลงไป แล้วก็หลับไปได้เลย ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่ต้องพะวงอะไรทั้งนั้น งานการทุกอย่าง ไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดถึงที่นี่ ผมพายเรือของผมไปเรื่อยๆ คุยกับเพื่อนๆบ้างเป็นระยะๆ นั่นคงจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ผมรู้สึกว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่ต้องวิ่งตามอะไรให้เหนื่อย ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น สำหรับผม ณ วินาทีนั้น ผมหลุดพ้นจากพันธนาการทุกอย่าง... อาจจะฟังดูเวอร์ แต่ผมรู้สึกสงบและเป็นสุขทั้งๆที่ผมไม่ได้ลงทุนอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว...

ระหว่างทางกลับ พี่เจ้าของบ้านที่ใจดีก็แวะสอยมะพร้าวกลับมาด้วย เต็มเรือเลยทีเดียว พวกเราเลยต้องรับหน้าที่กำจัดมะพร้าวอ่อนสดๆจำนวนมากมาย อร่อยจริงๆครับ หอมและเนื้อนุ่มมาก คืนนั้น แม้จะแปลกที่แต่ผมก็นอนหลับไปได้สบายๆ

ผมตั้งใจไว้ว่า ต่อจากนี้ไป ผมจะต้องหลบ"ความเจริญ"และกลับสู่ห้องกาลเวลาอย่างนี้อย่างน้อยปีละครั้ง มันเป็นการเติมพลังที่ดีมากครับ แค่คืนเดียวสั้นๆ มันทำให้แบตเตอรี่ที่เสื่อมๆของผมกลับมามีพลังเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

ถ้าคุณมีโอกาส อย่าลืมทดลอง"ทิ้งตัวเองเพื่อกลับสู่ความเป็นตัวเอง"กันบ้างนะครับ ถ้าใครสนใจ ก็ลองแวะมาบอกกล่าวนะครับ เผื่อครั้งหน้าผมไป จะได้ชวนไปด้วยครับ หรือถ้าใครไม่รังเกียจให้ผมเกาะไปด้วย ก็แวะมาชวนด้วยนะครับ ผมจะเป็นเพื่อนเดินทางที่ดี รับรองครับ ^^

Monday, July 7, 2008

Q3...

แล้วก็ไม่เคยทำได้ซะที ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะมาเขียนบ่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ผ่านไปอีกเป็นชาติกว่าจะได้มาเขียนอะไรซักที เพิ่งจะรู้ว่าครั้งล่าสุดที่เขียนคือวันเกิดผมเอง ว้าว... ผ่านไปสามเดือนกว่าแล้วนะเนี่ย เวลาเดินเร็วจริงๆ

เกือบสองเดือนแล้ว ที่ชีวิตกลับมาเป็นโสดเต็มๆตัวอีกครั้ง ไม่ได้อยู่ในสภาพนี้นานแล้ว ก็ตั้งแต่เริ่มเรียน MIM ชีวิตก็ยุ่งๆ มีอะไรทำมากมายมาตลอด ทั้งสนุกสนาน วุ่นวาย หัวเราะ ร้องไห้ มีทุกรสชาติเลยตลอด 3 ปีนี้ วันนี้ต้องกลับมาปรับพฤติกรรมตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ตอนแรกๆก็เรียกว่าสาหัสทีเดียว แต่ก็นะ... มันก็เหมือนการโดนรถชนอ่ะครับ มันเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน แล้วก็เจ็บไม่น้อยทีเดียว แต่สำหรับคนภายนอกมันเป็นแค่แผลที่มองไม่เห็นด้วยตา ต้องบอกว่าที่รอดมาได้เพราะมีกำลังใจดีๆมากมายรอบตัวครับ ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกคนที่อยู่กับผมมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แล้วก็ต้องขอบคุณอีกหลายคนที่ไม่ได้อ่านด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ อาๆ น้องๆอีกหลายคน พี่ๆที่ทำงาน มันเป็นสองเดือนที่สับสนวุ่นวายมากสำหรับผม แต่ผมก็รอดมาได้แล้ว สิ่งร้ายๆผ่านไปแล้ว ครึ่งปีหลังนี้จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ ผมว่ามันจะเป็นครึ่งปีที่ดีมากๆเลยครับ ^^

อย่างแรก... Project ที่ทำมาตลอด 4 เดือนปิดลงไปแล้วหนึ่งอัน เป็นความภาคภูมิใจมากๆ คิดว่าภายในเดือนนี้คงจะได้เห็นกันแล้วล่ะครับ หมายถึงว่าการแถลงข่าวนะครับ ตัว Project จริงๆคงจะยังไม่เห็นจนกว่าปีหน้า มันคืออะไร? รอดูครับ เร็วๆนี้แน่นอน
อย่างที่สอง... หมอดูบอกว่าผมจะเจอความรักครั้งใหม่เร็วๆนี้ 555 ใช่ครับ ผมไปดูหมอมา ถ้าคนที่รู้จักผมคงจะไม่เชื่อ เพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย แต่ผมรู้ละว่าทำไมศาสตร์พวกนี้ถึงอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ วันที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างมากมาย นั่นก็เพราะว่าวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเป็นคำตอบให้กับสิ่งที่มองไม่เห็นหลายๆอย่างได้ วันที่คนต้องการคำตอบประหลาดๆ ต้องการกำลังใจ สิ่งที่มองไม่เห็นกลับให้ความหวังเราได้มากกว่าทฤษฎีใดๆ อย่างไรซะ เอาเป็นว่าผมเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่หมอดูบอกละกัน :D มาเร็วๆนะ... ผมรออยู่
อย่างที่สาม... ผมกลับมาใช้เวลาอยู่กับการไปฟิตเนส และเจอเพื่อนๆ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำอยู่แล้ว น้ำหนักลดไป 10 กิโล รู้สึกดีขึ้นมากครับ แล้วก็ได้เจอเพื่อนๆบ่อยขึ้นเยอะ เรามีนัดสังสรรค์กันทุกเดือน สนุกดีจริงๆ
อย่างที่สี่... ผมกำลังเตรียมตัวก้าวออกจาก comfort zone ของผมครั้งใหญ่ ผมยังกลัวอยู่ จริงๆแล้วผมกลัวมาตลอด 2 ปีที่ผมคิดเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ถ้าจะพูดง่ายๆ ผมก็ไม่ค่อยจะมีอะไรให้ต้องเสียแล้ว ผมว่าผมจะทำให้มันเกิดขึ้นในปีนี้ล่ะ

ชีวิตของท่านผู้อ่านเป็นไงบ้างครับ มา update กันบ้างนะครับ

ขอให้ทุกคนมีความสุขและมีกำลังใจที่ดีนะครับ

Thursday, March 13, 2008

28 years later...

และแล้ว... ก็ยี่สิบแปดแล้วครับ ^^ อีกสองปีสามสิบละ ชีวิตยังไม่ไปถึงไหนเลย... วันนี้เริ่มต้นด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์ไปขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนปกติ พอเหลืออีกแค่ 30 เมตรจะถึงจุดที่ลง จู่ๆ ป้ารถเข็นก็โผล่มาด้านขวาของแว้นที่นั่งอยู่ แม่เจ้า...เบรกไม่ทันแล้ววว... เข่าผมเสยหม้อเม่ออะไรของแกกลิ้งเกลื่อน ยีนส์ตัวโปรดเป็นรอยดำเป็นแถบ พี่แว้นอยู่ในอารมณ์ตกใจ จะจอดมันกลางถนนซะงั้น ผมแทนที่จะเป็นคนเจ็บมีคนมาถามไถ่ ผมต้องบอกพี่แว้นว่า "พี่ๆ ขับไปก่อน จอดข้างถนนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน" พอพี่แกไปจอด ผมก็ตรวจดูเข่า เอาวะถลอกนิดเดียว ออกจะเหนือความคาดหมายเหมือนกันแต่ไม่เป็นอะไรมาก เอื้อมมือไปจ่ายตัง อ้าว... พี่แว้นมือสั่นซะงั้น ผมก็สายอยู่แล้ว เลยรีบไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันกลับไปเห็นป้าแกปลอบพี่แว้นอยู่ ผมนึกในใจ "มันไม่ได้เป็นไรเลยป้า มันหักหลบทัน เข่าผมต่างหากที่เสยของป้าอ่ะ..." ให้มันได้ยังงี้สิ

แล้วก็เผชิญกับวันงานหนักอีกหนึ่งวัน...จนเย็น พี่ไดเรคเตอร์แกล้งทำเป็นเรียกประชุม ไอ้เราก็เดาเกมออกแต่แรกละว่าจะมีเป่าเค้ก ก็เลยเอาน่ะ เล่นกับแกหน่อยละกัน... ฉากแกล้งประหลาดใจและดีใจเนี่ยเป็นฉากหนึ่งที่สำหรับผมแล้วน่าจะยากพอๆกับฉากร้องไห้... มันทำยากจริงๆนะครับท่านผู้อ่าน คือคุณเดาออกแล้ว แต่ต้องทำเป็นไม่รู้ คุณต้องทำเสียง "โห... ไปเตรียมกันตอนไหนเนี่ย" ให้เนียนๆ ระดับเสียงไม่ดังไปหรือเบาไป มือไม้ต้องทิศทางพอดี ไม่งั้นคนเตรียมจะเสียใจ... สำหรับผมแล้ว วันนี้ผมเข้ารอบชิงดารานำแสดงชายดีเด่น อาจจะไม่ถึงกับได้รางวัล แต่ผมว่าผมเข้ารอบสุดท้ายแน่ๆ...

ที่ผมดีใจคือยังมีคนบนโลกนี้ใส่ใจพอที่จะรู้ว่าผมยังไม่ได้แก่เกินไป เอ่อ.. แอบเข้าข้างตัวเองอ่ะนะเพราะผมไม่รู้จริงๆว่าทำไมเค้กที่ผมได้ถึง.... เอาเป็นว่าไปดูรูปเองละกันครับ



เค้กหมีพูห์ครับพี่น้อง...เข้ากับวัยสุดๆอ่ะ

สุดท้ายแล้ว ผมก็มีความสุขดีกับวันนี้ ^^ ไม่ได้เลิศเลอ แต่ก็ธรรมดาแบบมีสีสัน... ขอบคุณทุกคนนะครับสำหรับคำอวยพรและที่อุตส่าห์จำกันได้ ทุกข้อความทางมือถือ ทาง MSN ทาง Facebook และ hi5 รวมทั้งที่บอกกับผมด้วยตัวเอง มันทำให้วันนี้ วันที่ผมเข้าใกล้การมีอายุ 30 มีความหมายและสร้างรอยยิ้มให้ผมได้ทั้งวัน... ขอบคุณครับ มีความสุขจัง _/\_

Wednesday, February 27, 2008

My Pepsi

สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้่เรียกได้ว่าหนักหนามากๆ การที่ได้ย้ายจากตำแหน่งเดิมกลับมาทำ business development อีกครั้งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ก็สูบพลังชีวิตแทบเกลี้ยง หลังจากออกจากที่ทำงานก็ไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว เตียงเท่านั้นที่หัวคิดถึง เป็นการทำงานที่ทำให้นึกถึงประโยคที่ Bill Randall เคยพูดกรอกไปในหัวหลายๆครั้งว่า Do whatever it takes.. ครั้งนี้เป็นการทำงานที่ต้องบอกว่าดูว็อทเอเวอร์อิทเทคส์จริงๆ ต้องคิดตลอดเวลา ต้องจัดลำดับการทำงานให้ optimal ที่สุดเพราะถ้าไปเสียเวลากับอะไรสักอย่างมากเกินไป ที่เหลือเละ... ความโชคดีคือการได้ปรับตำแหน่งนิดหน่อย เป็นการปรับที่เพิ่มความคล่องตัวขึ้นได้เยอะจนเห็นได้ชัด การทำงานที่ต้องรอลายเซ็นต์หลายๆครั้งไม่ต้องมีอีกต่อไป คิด..เซ็นต์..ลุย.. แต่ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ เพราะความรับผิดชอบที่ได้ก็ตามมาอีกถาโถม... 4 โปรเจ็คใหญ่ๆไหลเข้ามาทันที อันนึงเป็นการปั้นประวัติศาสตร์ใหม่ อีกอันเป็นการทดลองแตกแนวไปจากธุรกิจหลักของบริษัท อีกอันคือการลุยงานช้างที่ค้างอยู่ให้จบ และอีกอันคือโปรเจ็คที่ต้องเป็นโปรเจ็คแห่งปี แล้วต้องขึ้นสู่ที่หนึ่งให้ได้ ถ้าพูดจะให้ง่ายก็คือการล้มช้างที่บังเอิญเป็นช้างที่ตัวใหญ่ซะด้วย

เหนื่อยครับ แต่สนุกจริงๆ ถ้าเทียบงานที่ทำกับเงินที่ได้ มองให้ตายก็ต้องบอกว่าไม่คุ้ม เป็นที่อื่นน่าจะได้มากกว่าเกือบเท่าตัว แต่มันก็กลับไปที่สิ่งที่ผมต้องการ นั่นก็คือโอกาสเรียนรู้และทดลอง ก่อนนี้ผมค่อนข้างเบื่อกับงานที่แผนกเดิม ตอนนี้มีได้โอกาสที่จะลองโน่นลองนี่ ทำโน่นทำนี่ หลายๆอันต้องเรียกว่าเป็นเกียรติเลยด้วยที่ได้รับมอบหมายให้ทำ นั่นคือสิ่งที่ำให้ทุกวันที่ตื่นมาอยากรีบไปทำงาน ผมดีใจที่ได้กลับมารู้สึกอย่างนี้อีกครั้ง การที่ได้ดึงพลังในตัวออกมาใช้จนเกลี้ยงทุกวัน กลับไปตายที่บ้าน และตื่นมาอีกครั้งพร้อมกับพลังที่เต็มเหมือนเดิม นี่แหละความคุ้มของการมีชีวิตในแต่ละวัน แต่จริงๆผมก็ยังอยากที่จะสามารถแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกเหมือนกัน ตอนนี้ผมต้องบ่ายเบี่ยงทุกอย่างออกจากชีวิตประจำวันเพราะหมดแรงจริงๆ ผมทิ้งเพื่อน กิจกรรมข้างนอก การนั่งอ่านหนังสือสบายๆ การนั่งอ่านข่าว การนั่งฟังเพลง การดูทีวี เรียกว่าตัดทิ้งเกือบทั้งหมดเพื่อเก็บแรงไว้ตอนกลางวัน แต่นั่นก็เพียงช่วงนี้ครับ ผมยังไม่ลงตัว อีกเดี๋ยวพอผมปรับตัวได้แล้ว ผมจะเต็มที่ที่ทำงาน เต็มที่นอกที่ทำงาน และนั่นแหละครับ เป๊บซี่ของผม

เต็มที่กับชีวิต!

ปล. โค้กอย่าได้น้อยใจไป อย่างไรผมก็ยังไม่ดื่มเป๊บซี่ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ
ปล.2 วันนี้แบ่งเวลามาเขียนได้เพราะพลังเหลือนิดหน่อยจากการแอบงีบในรถไฟฟ้าระหว่างทางกลับบ้าน อีกไม่นานผมคงเป็นเซียนในการทำ power nap...

Thursday, January 3, 2008

ชาวเกาะ

ตอนเด็กๆผมเคยฟังเพลงเพลงหนึ่ง ผมจำคนร้องไม่ได้แล้ว แต่อารมณ์ประมาณว่า อยากไปเป็นชาวเกาะ ผมก็เลยสงสัยว่ามันจะเป็นยังไงถ้าได้ไปเป็นชาวเกาะจริงๆ มันจะอากาศดี ได้อยู่กับลมเย็นๆสบายๆตลอดวัน มีเสียงคลื่น มีนกร้อง มีผู้คนวิ่งเล่นสนุกสนานมั้ย ณ ตอนนั้น ผมก็เลยอยากไปเป็นชาวเกาะบ้าง ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องทำงานหาเงิน เพราะไม่เห็นเพลงมันพูดถึงเลยว่าจะมีวิธีหาเงินเลี้ยงตัวเองยังไง ผมเข้าใจเอาว่า เงินไม่ต้องใช้ถ้าเป็นชาวเกาะ กินมะพร้าวกินปลา คงอยู่ได้

โตมาอีกนิด เริ่มรู้จักระบบการเงิน เริ่มเห็นภาพว่า เป็นชาวเกาะจริงๆแล้วยากกว่าที่เคยคิด ต้องเริ่มคิดว่าจะหาเงินยังไง แถมอากาศก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดด้วย พอได้ไปเห็นเกาะจริงๆ ถึงจะสวยงาม แต่ผู้คนไม่ได้วิ่งเล่นสนุกสนานอย่างนั้น นกร้องก็จริง แต่พอรู้เรื่องการล่ารังนก เริ่มไม่ตลก นกมันเสียใจนะนั่นที่เอาไปลอยใส่ถ้วยน่ะ เริ่มรู้ว่า อยู่เกาะนานๆจะแสบร้อน ต้องเอาอะไรเหนียวๆทาผิวให้ไม่สบายตัวด้วย เริ่มไม่อยากเป็นชาวเกาะแล้ว

อีกหลายๆปีผ่านไป... มาวันนี้ เริ่มอยากกลับไปเป็นชาวเกาะอีกแล้ว ช่างมันเถอะเรื่องเงิน จะแสบจะร้อนบ้างก็คงไม่ตาย อาหารมีเยอะแยะ ถ้ากลัวอดตายก็ขนไปจากตัวเมืองก็ได้ ความเจริญน้อยหน่อย แต่ความวุ่นวายก็อาจจะน้อยกว่าเยอะเหมือนกัน ไม่ต้องมาสนใจอะไรที่ทำให้เราไม่สบายใจ ความสุขที่แท้จริงเหรอ ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถึงหลายคนพยายามจะบอกว่าเป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ ผมไม่รู้ แต่ผมรู้ว่า ถ้าไม่ทุกข์มันก็คือสุขแบบหนึ่งละ

วันหนึ่งผมอาจจะไปเป็นชาวเกาะจริงๆก็ได้ ใครจะรู้