Wednesday, August 13, 2008

Head or heart...?

มีคนๆหนึ่งบอกผมว่าเวลาเรารักใครมันเป็นเรื่องของหัวใจ อย่าไปยึดติดกับเหตุผลใดๆ เพราะความรักมันอาจจะอธิบายด้วยเหตุผลใดๆไม่ได้เลย ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะผมโตมากับวิทยาศาสตร์มั้งครับ ไม่รู้ดิ แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้าคนเราไม่มีเหตุผลในการที่จะรักใครเลย หรือไม่"คิด"ให้ดี วันหนึ่งถ้าความรู้สึกเปลี่ยน ความรักนั้นมันจะคงทนได้ยังไง

สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันน่าจะมีทั้งสองอย่างเพื่อให้มันเกิดการคานกัน ตัวอย่างเช่น ตอนที่คุณรู้สึก in love มากๆ คุณก็ให้หัวใจทำงานไป แต่ตอนไหนที่คุณรู้สึกเบื่อๆหรือต้องการมองหาอะไรใหม่ๆที่มันตื่นเต้น คุณอาจจะต้องลดความสำคัญของหัวใจลง แล้วให้สมองทำงานแทนไปก่อน เพราะเมื่อเรามองถึงข้อดีต่างๆนานาของคนที่เรารักแล้ว ผมว่าเมื่ออารมณ์ว้าวุ่น เบื่อหน่ายต่างๆผ่านไป ความสัมพันธ์มันก็จะได้ยังคงอยู่ สำหรับผมแล้ว อารมณ์พวกนี้มันอาจจะบังคับกันไม่ได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้มันมีบทบาทเหนือการควบคุมของเรา เราอาจจะต้องเสียใจกับสิ่งที่เราทำไปตลอดไปเลยก็ได้ จริงมั้ยครับ



ที่ P&G เองก็มีอะไรคล้ายๆกัน นั่นคือโปรแกรม work-life balance ที่เป็นหลักสูตรที่พนักงานของ P&G ต้องเข้า (ตามที่เพื่อนผมบอกมาอีกที) หัวใจของหลักสูตรนี้คือ ต่อให้คุณมีความตั้งใจจะทุ่มเทกับงานแค่ไหน คุณก็ต้องมีอย่างอื่นด้วยเหมือนกัน โอเค มันอาจจะไม่เหมือนกับเรื่องที่ผมเล่าก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่ผมต้องการบอกก็คือ ผมว่าทุกๆอย่างมีส่วนตรงข้ามของมันอยู่ อะไรก็ตามที่มันต้องมาด้วยกันแต่อาจจะขัดกันโดยธรรมชาติ สิ่งที่ท้าทายและจะเป็นจุดวัดของคนที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ... ใคร balance มันได้ดีกว่ากัน

พอย้อนกลับไปถึงหัวข้อตั้งต้นของผมอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าผมก็ยังมีอะไรต้องปรับแก้อีกเยอะ มันคงไม่มีสูตรตายตัวด้วยซ้ำที่จะยื่นให้ใครแล้วจะทำกันได้ดีทุกคน แต่นั่นคงจะเป็นเสน่ห์ของการเรียนรู้มั้งครับ

ถ้าวันหนึ่งผมประสบความสำเร็จ ผมจะมาแบ่งปันให้ได้ทราบกันอีกทีครับ

Tuesday, August 12, 2008

จบไปอีกหนึ่งรุ่น

เวลาเดินเร็วจริงๆเลยนะครับ ว่ามั้ย? บางอย่างพอเราเผลอแป๊บเดียว มันก็ผ่านไปเป็นปีๆโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวเลย... ล่าสุด รุ่นน้องผมที่ MIM ก็จบไปอีกหนึ่งรุ่นแล้ว รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ผมสนิทด้วยที่สุด ผูกพันมากที่สุด แล้วก็เห็นกันมาตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว รุ่น 20 กับผมถือว่ามีความผูกพันเยอะเพราะอย่างแรกเนี่ย ผมเป็นรุ่นพี่ที่คอยดูแลตอนที่รุ่นนี้เข้ามาใหม่ๆ ผมเป็นพี่เลี้ยงให้กับน้องกลุ่มหนึ่งตอนที่มี team building จากนั้นก็เนื่องจากว่ารุ่นนี้ชอบออกไปเที่ยวกันบ่อยๆ ก็เลยสนิทกันเร็ว แต่สาเหตุสำคัญก็คงต้องบอกว่าเป็นเพราะผมดันมีแฟนเป็นคนในรุ่นนี้ซะด้วย ตลอดสองปีกว่าๆที่ผ่านมา ผมเลยกลายเป็นคนในรุ่นคนหนึ่งไปโดยปริยาย แล้วเพื่อนๆผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆแล้วผมอยู่รุ่นไหนกันแน่

ล่าสุดการไปงานรับปริญญาก็เป็นสิ่งที่ทำให้ใจหายเหมือนกัน เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งแต่งชุดครุยมาถ่ายรูปกับเพื่อนๆเอง พอกระพริบตาผ่านไปไม่กี่แสนครั้ง รุ่นนี้ก็มารับต่อละ เร็วจริงๆ



ขอเอาอีกรูปมาแปะ เป็นรูปของรุ่นพี่และ staff ของโครงการครับ



แล้วก็แถมท้ายด้วยรูปที่ขโมยมาจากเว็บของน้องๆ







Friday, August 1, 2008

มองไปรอบๆตัว...

สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมและหลายๆคนรอบตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาคือ การเลิกกัน... ใช่ครับ การเลิกกันมีมาตั้งแต่ก่อนผมเกิด เรียกว่าย้อนไปตั้งแต่ยุคก่อนที่จะมีอารยธรรมซะอีกก็คงจะว่าได้ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าบังเอิญมันเกิดกับตัวผมเองด้วย เลยทำให้ผมอยู่ในอาการ selective perception นั่นคือเลือกที่จะมองสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง หรือสิ่งที่อยู่ในความสนใจอยู่ในขณะนั้น แต่ผลลัพธ์ก็คือ ผมสังเกตว่ามีคนเลิกกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีอีกหลายคนที่กำลังจ่อคิวอยู่ด้วย

สาเหตุที่ทำให้ผมถึงกับต้องเขียนถึงเรื่องธรรมดาๆอย่างนี้ก็คือ การที่หลังๆนี่การเลิกกันเริ่มมีเหตุผลที่ซับซ้อนมากขึ้น หรือถ้าจะให้เอาให้ตรงไปตรงมากว่านั้น มันคือการมีเหตุผลน้อยลงครับ... สิ่งที่ผมได้ยินจากการเลิกกันในยุคก่อนๆคือ การที่คนสองคนอยู่ด้วยกันแต่เข้ากันไม่ได้จริงๆ ทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนทางออกเดียวคือการแยกกันอยู่ หรือการที่สังคมหรือพ่อแม่ไม่ยอมรับ อะไรประมาณนี้ แต่สิ่งที่เกิดหลังๆ โดยเฉพาะช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ก็คือ การที่คนสองคนยังรักกันอยู่แต่จำเป็นต้องเลิก... นี่แหละที่ผมบอกว่ามันซับซ้อน ก็ไอ้ความจำเป็นนี่แหละ ที่บางทีเราต้องอาศัยความพยายามพอสมควรเพื่อที่จะเข้าใจความจำเป็นที่ว่านี่ ซึ่งหลังจากที่โดนกับตัวเองแล้ว ตอนนี้... ผมกำลังอยู่ในสถานะการเป็นที่ปรึกษาให้กับเพื่อนสนิทผมอีกหนึ่งคนที่กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองในการตัดสินใจว่า"ความจำเป็น"นี้ จะมีผลต่ออนาคตของความสัมพันธ์อันดีของตัวเองหรือไม่

ความจำเป็นที่ว่านี้ มันมาในหลายรูปแบบของคำอธิบาย สิ่งที่ผมเผชิญคือ การอยากเป็นตัวของตัวเอง การอยากทำอะไรที่ตัวเองอยากทำอย่างเต็มที่ ซึ่งผมขอไม่พูดถึงกรณีของผมเองนะครับ เอาเป็นว่า ผมเข้าใจคำอธิบายและผมก็ติดตามผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า แล้วผมก็พอจะเข้าใจละว่าอะไรเป็นอะไร แต่สำหรับของเพื่อนผม การที่เหตุการณ์มันเหมือนย้อนมาให้ผมระลึกถึงอีกครั้งนี่ทำให้ผมได้เห็นเหตุการณ์ที่คล้ายเดิม แต่ในมุมของอีกฝั่ง นั่นคือฝั่งคนบอกเลิก จริงอยู่ว่าเพื่อนผมยังไม่ได้บอกเลิกแฟน แต่ผมหมายถึงว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดทั้งหมดว่าอะไรเป็นอะไร แล้วที่สำคัญคือ เพื่อนผมที่ว่านี่เป็นผู้หญิงที่มีหลายๆอย่างคล้ายแฟนผมที่กลายเป็นอดีตไปแล้วซะด้วย

ผมไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นไง เค้าอาจจะลงเอยด้วยกันอยู่ด้วยกันแบบ happily ever after แต่อย่างน้อย สิ่งที่ผมกำลังมองเห็นอยู่นี้ มันก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจทีเดียว นี่ล่ะมั้งลักษณะของ adolescence ที่เรียนมาตอนเรียนโท มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...

Sunday, July 20, 2008

ความสุขง่ายๆที่อัมพวา (ย้ายมาจาก Multiply)

นานแล้วครับที่ไม่ได้แวะมาเขียนอะไรเลยที่ Multiply จริงๆผมไม่ได้หายไปไหน ผมแค่ย้ายสัมมโนครัวไปอยู่ที่ Facebook เป็นหลัก ใครที่อยู่ทั้งสองที่คงจะเห็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต แต่บน Facebook ไม่ค่อยมีญาติสนิท มิตรสหายมาสนใจสักเท่าไหร่ ผมเลยเริ่มกลับสู่บ้านหลังเดิมที่มีคนให้การต้อนรับดีกว่า วันนี้เลยอยากมาเขียนอะไรนิดหน่อยครับ :)

สองอาทิตย์นี้ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสบ้านนอกมา จะว่าไปก็ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพสักเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกผิดกันลิบลับ ผมไม่รู้ว่าจริงๆทำไมต้อง"อัมพวา" เพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่าเป็นเพราะละครทีวีที่ทำให้ที่นี่ดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน ครั้งแรกที่ผมไปคืออาทิตย์ก่อน ซึ่งผมไปตอนกลางวันเลยไม่ได้สัมผัสความเป็นอัมพวาอย่างที่หลายๆคนมาแสวงหา แต่ล่าสุด...ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ผมมีโอกาสได้กลับไปอีกครั้ง และครั้งนี้แหละที่ผมว่าผมได้สัมผัสความเป็นอัมพวามากกว่าใครๆอีกมากมาย...

การเดินทางครั้งนี้ผมไปกับเพื่อนๆที่ทำงาน เป็นการไปเที่ยวสั้นๆ แค่หนึ่งวันหนึ่งคืน เริ่มเดินทางบ่ายวันศุกร์ครับ กว่าจะไปถึงก็เย็นๆแล้ว เลยไม่รีรอ รีบดิ่งไปที่ตลาดน้ำยามเย็นเลย




โอ้โห แม่เจ้า... คนยังกะพันธมิตรมดเพื่อขุมน้ำตาล คนเยอะอะไรจะขนาดนั้นครับพี่น้อง แตกต่างกับอาทิตย์ก่อนโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คน คน คน... แย่งกันเดิน แย่งกันกิน แย่งกันหายใจ แต่ไหนๆมาแล้วก็ต้องฝ่าเดินมันไป ทั้งๆที่เป็นที่เดิมที่เคยมาแค่เจ็ดวันก่อน แต่ทุกอย่างมันช่างแตกต่างกันครับ ไม่น่าประทับใจเลย ดีว่าครั้งก่อนเดินมันทุกมุมแล้ว เลยไม่รู้สึกพลาดอะไรไป
หลังจากที่เหนื่อยกับฝูงพันธมิตรแล้ว ก็เลยกลับบ้านครับ ซึ่งบ้านเนี่ย เป็นของญาติของพี่คนหนึ่งที่บริษัท มาอาศัยเค้าอยู่ครับ เป็นชีวิตแบบวิถีไทยจริงๆ ผมได้กลับมาอาบน้ำตุ่มแบบที่ไม่เคยมาแสนนาน และเนื่องจากว่าบ้านมันติดแม่น้ำ คราวนี้เลยแก้ผ้าอาบน้ำหน้าบ้านตรงข้างแม่น้ำเลย เย็นสบายและรู้สึกอยู่กลางธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูกครับ

Hilight ของการเดินทางนี้อยู่ที่การพายเรือดูหิ่งห้อยตอนกลางคืน... เนื่องจากว่าคนที่มาก็ไม่ได้มีใครเป็นเด็กต่างจังหวัดเลย ผมเลยต้องอาสาเป็นมือพายของเรือไป... เราพายกันไป 2 ลำ แบ่งคนเท่าๆกัน ดีว่าพี่ที่คุมท้ายเรือผมเค้าพายเป็น ไม่งั้นผมคงพายเรือวนไปวนมา หรือไม่ก็ไม่ไปไหนเลย น่าอายจริงๆ... ผมจำเวลาที่เราพายกันไม่ได้ แต่รอบข้างมืดสนิท อากาศก็น่าจะเย็นสบายนะครับ ที่ผมไม่แน่ใจและใช้คำว่า"อาจจะ"เนี่ยเป็นเพราะว่าการพายเรือทำให้ผมเหงื่อท่วม ผมเลยไม่รู้ว่าจริงๆอากาศมันเป็นยังไง แต่เท่าที่ดูจากคนอื่นๆ อากาศมันคงจะดีอ่ะครับ เห็นนั่งกันสบาย คุยกันสนุก -_-"




เราไปกันแบบลูกกรุงมากๆ เจอหิ่งห้อยกระพริบตัวเดียวก็ตื่นเต้นกันแล้ว แถมมีเพื่อนคนหนึ่งคิดว่าหิ่งห้อยต้องอยู่กับต้นลำพู เพราะงั้น ไม่ว่าคืนนั้นจะเจอต้นไม้อะไร เธอจะต้องเรียกมันว่าต้นลำพูหมด ขำจริงๆครับ...


การพายเรือคืนนั้นทำให้ผมรู้สึกสงบมาก ผมอธิบายไม่ถูก สงสัยเป็นเพราะบรรยากาศที่มันเงียบสงบมั้งครับ หรือเป็นเพราะความมืด หรือเป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่การไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบไม่มีร่องรอยความเจริญอะไรเลยนี่มันเป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ เหมือนกับเวลามันไม่ได้เดินไปไหนเลย ผมไม่รู้ว่าผมพายเรือไปนานเท่าไหร่แล้ว ผมก็แค่พายไปเรื่อยๆ ดูหิ่งห้อยตัวแล้วต้วเล่ากระพริบแสง บินจากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง บางตัวหลงมาเกาะเพื่อนผม เลยโดนทำโทษเป็นการยิงแสงแฟลชใส่ซะ แต่มันช่างสงบจริงๆ สงบจนผมรู้สึกว่า ถ้าผมหลงทาง พายกลับไม่ถูก ผมก็แค่เอนตัวนอนลงไป แล้วก็หลับไปได้เลย ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่ต้องพะวงอะไรทั้งนั้น งานการทุกอย่าง ไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดถึงที่นี่ ผมพายเรือของผมไปเรื่อยๆ คุยกับเพื่อนๆบ้างเป็นระยะๆ นั่นคงจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ผมรู้สึกว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่ต้องวิ่งตามอะไรให้เหนื่อย ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น สำหรับผม ณ วินาทีนั้น ผมหลุดพ้นจากพันธนาการทุกอย่าง... อาจจะฟังดูเวอร์ แต่ผมรู้สึกสงบและเป็นสุขทั้งๆที่ผมไม่ได้ลงทุนอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว...

ระหว่างทางกลับ พี่เจ้าของบ้านที่ใจดีก็แวะสอยมะพร้าวกลับมาด้วย เต็มเรือเลยทีเดียว พวกเราเลยต้องรับหน้าที่กำจัดมะพร้าวอ่อนสดๆจำนวนมากมาย อร่อยจริงๆครับ หอมและเนื้อนุ่มมาก คืนนั้น แม้จะแปลกที่แต่ผมก็นอนหลับไปได้สบายๆ

ผมตั้งใจไว้ว่า ต่อจากนี้ไป ผมจะต้องหลบ"ความเจริญ"และกลับสู่ห้องกาลเวลาอย่างนี้อย่างน้อยปีละครั้ง มันเป็นการเติมพลังที่ดีมากครับ แค่คืนเดียวสั้นๆ มันทำให้แบตเตอรี่ที่เสื่อมๆของผมกลับมามีพลังเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

ถ้าคุณมีโอกาส อย่าลืมทดลอง"ทิ้งตัวเองเพื่อกลับสู่ความเป็นตัวเอง"กันบ้างนะครับ ถ้าใครสนใจ ก็ลองแวะมาบอกกล่าวนะครับ เผื่อครั้งหน้าผมไป จะได้ชวนไปด้วยครับ หรือถ้าใครไม่รังเกียจให้ผมเกาะไปด้วย ก็แวะมาชวนด้วยนะครับ ผมจะเป็นเพื่อนเดินทางที่ดี รับรองครับ ^^

Monday, July 7, 2008

Q3...

แล้วก็ไม่เคยทำได้ซะที ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะมาเขียนบ่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ผ่านไปอีกเป็นชาติกว่าจะได้มาเขียนอะไรซักที เพิ่งจะรู้ว่าครั้งล่าสุดที่เขียนคือวันเกิดผมเอง ว้าว... ผ่านไปสามเดือนกว่าแล้วนะเนี่ย เวลาเดินเร็วจริงๆ

เกือบสองเดือนแล้ว ที่ชีวิตกลับมาเป็นโสดเต็มๆตัวอีกครั้ง ไม่ได้อยู่ในสภาพนี้นานแล้ว ก็ตั้งแต่เริ่มเรียน MIM ชีวิตก็ยุ่งๆ มีอะไรทำมากมายมาตลอด ทั้งสนุกสนาน วุ่นวาย หัวเราะ ร้องไห้ มีทุกรสชาติเลยตลอด 3 ปีนี้ วันนี้ต้องกลับมาปรับพฤติกรรมตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ตอนแรกๆก็เรียกว่าสาหัสทีเดียว แต่ก็นะ... มันก็เหมือนการโดนรถชนอ่ะครับ มันเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน แล้วก็เจ็บไม่น้อยทีเดียว แต่สำหรับคนภายนอกมันเป็นแค่แผลที่มองไม่เห็นด้วยตา ต้องบอกว่าที่รอดมาได้เพราะมีกำลังใจดีๆมากมายรอบตัวครับ ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกคนที่อยู่กับผมมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แล้วก็ต้องขอบคุณอีกหลายคนที่ไม่ได้อ่านด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ อาๆ น้องๆอีกหลายคน พี่ๆที่ทำงาน มันเป็นสองเดือนที่สับสนวุ่นวายมากสำหรับผม แต่ผมก็รอดมาได้แล้ว สิ่งร้ายๆผ่านไปแล้ว ครึ่งปีหลังนี้จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ ผมว่ามันจะเป็นครึ่งปีที่ดีมากๆเลยครับ ^^

อย่างแรก... Project ที่ทำมาตลอด 4 เดือนปิดลงไปแล้วหนึ่งอัน เป็นความภาคภูมิใจมากๆ คิดว่าภายในเดือนนี้คงจะได้เห็นกันแล้วล่ะครับ หมายถึงว่าการแถลงข่าวนะครับ ตัว Project จริงๆคงจะยังไม่เห็นจนกว่าปีหน้า มันคืออะไร? รอดูครับ เร็วๆนี้แน่นอน
อย่างที่สอง... หมอดูบอกว่าผมจะเจอความรักครั้งใหม่เร็วๆนี้ 555 ใช่ครับ ผมไปดูหมอมา ถ้าคนที่รู้จักผมคงจะไม่เชื่อ เพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย แต่ผมรู้ละว่าทำไมศาสตร์พวกนี้ถึงอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ วันที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างมากมาย นั่นก็เพราะว่าวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเป็นคำตอบให้กับสิ่งที่มองไม่เห็นหลายๆอย่างได้ วันที่คนต้องการคำตอบประหลาดๆ ต้องการกำลังใจ สิ่งที่มองไม่เห็นกลับให้ความหวังเราได้มากกว่าทฤษฎีใดๆ อย่างไรซะ เอาเป็นว่าผมเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่หมอดูบอกละกัน :D มาเร็วๆนะ... ผมรออยู่
อย่างที่สาม... ผมกลับมาใช้เวลาอยู่กับการไปฟิตเนส และเจอเพื่อนๆ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำอยู่แล้ว น้ำหนักลดไป 10 กิโล รู้สึกดีขึ้นมากครับ แล้วก็ได้เจอเพื่อนๆบ่อยขึ้นเยอะ เรามีนัดสังสรรค์กันทุกเดือน สนุกดีจริงๆ
อย่างที่สี่... ผมกำลังเตรียมตัวก้าวออกจาก comfort zone ของผมครั้งใหญ่ ผมยังกลัวอยู่ จริงๆแล้วผมกลัวมาตลอด 2 ปีที่ผมคิดเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ถ้าจะพูดง่ายๆ ผมก็ไม่ค่อยจะมีอะไรให้ต้องเสียแล้ว ผมว่าผมจะทำให้มันเกิดขึ้นในปีนี้ล่ะ

ชีวิตของท่านผู้อ่านเป็นไงบ้างครับ มา update กันบ้างนะครับ

ขอให้ทุกคนมีความสุขและมีกำลังใจที่ดีนะครับ

Thursday, March 13, 2008

28 years later...

และแล้ว... ก็ยี่สิบแปดแล้วครับ ^^ อีกสองปีสามสิบละ ชีวิตยังไม่ไปถึงไหนเลย... วันนี้เริ่มต้นด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์ไปขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนปกติ พอเหลืออีกแค่ 30 เมตรจะถึงจุดที่ลง จู่ๆ ป้ารถเข็นก็โผล่มาด้านขวาของแว้นที่นั่งอยู่ แม่เจ้า...เบรกไม่ทันแล้ววว... เข่าผมเสยหม้อเม่ออะไรของแกกลิ้งเกลื่อน ยีนส์ตัวโปรดเป็นรอยดำเป็นแถบ พี่แว้นอยู่ในอารมณ์ตกใจ จะจอดมันกลางถนนซะงั้น ผมแทนที่จะเป็นคนเจ็บมีคนมาถามไถ่ ผมต้องบอกพี่แว้นว่า "พี่ๆ ขับไปก่อน จอดข้างถนนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน" พอพี่แกไปจอด ผมก็ตรวจดูเข่า เอาวะถลอกนิดเดียว ออกจะเหนือความคาดหมายเหมือนกันแต่ไม่เป็นอะไรมาก เอื้อมมือไปจ่ายตัง อ้าว... พี่แว้นมือสั่นซะงั้น ผมก็สายอยู่แล้ว เลยรีบไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันกลับไปเห็นป้าแกปลอบพี่แว้นอยู่ ผมนึกในใจ "มันไม่ได้เป็นไรเลยป้า มันหักหลบทัน เข่าผมต่างหากที่เสยของป้าอ่ะ..." ให้มันได้ยังงี้สิ

แล้วก็เผชิญกับวันงานหนักอีกหนึ่งวัน...จนเย็น พี่ไดเรคเตอร์แกล้งทำเป็นเรียกประชุม ไอ้เราก็เดาเกมออกแต่แรกละว่าจะมีเป่าเค้ก ก็เลยเอาน่ะ เล่นกับแกหน่อยละกัน... ฉากแกล้งประหลาดใจและดีใจเนี่ยเป็นฉากหนึ่งที่สำหรับผมแล้วน่าจะยากพอๆกับฉากร้องไห้... มันทำยากจริงๆนะครับท่านผู้อ่าน คือคุณเดาออกแล้ว แต่ต้องทำเป็นไม่รู้ คุณต้องทำเสียง "โห... ไปเตรียมกันตอนไหนเนี่ย" ให้เนียนๆ ระดับเสียงไม่ดังไปหรือเบาไป มือไม้ต้องทิศทางพอดี ไม่งั้นคนเตรียมจะเสียใจ... สำหรับผมแล้ว วันนี้ผมเข้ารอบชิงดารานำแสดงชายดีเด่น อาจจะไม่ถึงกับได้รางวัล แต่ผมว่าผมเข้ารอบสุดท้ายแน่ๆ...

ที่ผมดีใจคือยังมีคนบนโลกนี้ใส่ใจพอที่จะรู้ว่าผมยังไม่ได้แก่เกินไป เอ่อ.. แอบเข้าข้างตัวเองอ่ะนะเพราะผมไม่รู้จริงๆว่าทำไมเค้กที่ผมได้ถึง.... เอาเป็นว่าไปดูรูปเองละกันครับ



เค้กหมีพูห์ครับพี่น้อง...เข้ากับวัยสุดๆอ่ะ

สุดท้ายแล้ว ผมก็มีความสุขดีกับวันนี้ ^^ ไม่ได้เลิศเลอ แต่ก็ธรรมดาแบบมีสีสัน... ขอบคุณทุกคนนะครับสำหรับคำอวยพรและที่อุตส่าห์จำกันได้ ทุกข้อความทางมือถือ ทาง MSN ทาง Facebook และ hi5 รวมทั้งที่บอกกับผมด้วยตัวเอง มันทำให้วันนี้ วันที่ผมเข้าใกล้การมีอายุ 30 มีความหมายและสร้างรอยยิ้มให้ผมได้ทั้งวัน... ขอบคุณครับ มีความสุขจัง _/\_

Wednesday, February 27, 2008

My Pepsi

สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้่เรียกได้ว่าหนักหนามากๆ การที่ได้ย้ายจากตำแหน่งเดิมกลับมาทำ business development อีกครั้งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ก็สูบพลังชีวิตแทบเกลี้ยง หลังจากออกจากที่ทำงานก็ไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว เตียงเท่านั้นที่หัวคิดถึง เป็นการทำงานที่ทำให้นึกถึงประโยคที่ Bill Randall เคยพูดกรอกไปในหัวหลายๆครั้งว่า Do whatever it takes.. ครั้งนี้เป็นการทำงานที่ต้องบอกว่าดูว็อทเอเวอร์อิทเทคส์จริงๆ ต้องคิดตลอดเวลา ต้องจัดลำดับการทำงานให้ optimal ที่สุดเพราะถ้าไปเสียเวลากับอะไรสักอย่างมากเกินไป ที่เหลือเละ... ความโชคดีคือการได้ปรับตำแหน่งนิดหน่อย เป็นการปรับที่เพิ่มความคล่องตัวขึ้นได้เยอะจนเห็นได้ชัด การทำงานที่ต้องรอลายเซ็นต์หลายๆครั้งไม่ต้องมีอีกต่อไป คิด..เซ็นต์..ลุย.. แต่ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ เพราะความรับผิดชอบที่ได้ก็ตามมาอีกถาโถม... 4 โปรเจ็คใหญ่ๆไหลเข้ามาทันที อันนึงเป็นการปั้นประวัติศาสตร์ใหม่ อีกอันเป็นการทดลองแตกแนวไปจากธุรกิจหลักของบริษัท อีกอันคือการลุยงานช้างที่ค้างอยู่ให้จบ และอีกอันคือโปรเจ็คที่ต้องเป็นโปรเจ็คแห่งปี แล้วต้องขึ้นสู่ที่หนึ่งให้ได้ ถ้าพูดจะให้ง่ายก็คือการล้มช้างที่บังเอิญเป็นช้างที่ตัวใหญ่ซะด้วย

เหนื่อยครับ แต่สนุกจริงๆ ถ้าเทียบงานที่ทำกับเงินที่ได้ มองให้ตายก็ต้องบอกว่าไม่คุ้ม เป็นที่อื่นน่าจะได้มากกว่าเกือบเท่าตัว แต่มันก็กลับไปที่สิ่งที่ผมต้องการ นั่นก็คือโอกาสเรียนรู้และทดลอง ก่อนนี้ผมค่อนข้างเบื่อกับงานที่แผนกเดิม ตอนนี้มีได้โอกาสที่จะลองโน่นลองนี่ ทำโน่นทำนี่ หลายๆอันต้องเรียกว่าเป็นเกียรติเลยด้วยที่ได้รับมอบหมายให้ทำ นั่นคือสิ่งที่ำให้ทุกวันที่ตื่นมาอยากรีบไปทำงาน ผมดีใจที่ได้กลับมารู้สึกอย่างนี้อีกครั้ง การที่ได้ดึงพลังในตัวออกมาใช้จนเกลี้ยงทุกวัน กลับไปตายที่บ้าน และตื่นมาอีกครั้งพร้อมกับพลังที่เต็มเหมือนเดิม นี่แหละความคุ้มของการมีชีวิตในแต่ละวัน แต่จริงๆผมก็ยังอยากที่จะสามารถแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกเหมือนกัน ตอนนี้ผมต้องบ่ายเบี่ยงทุกอย่างออกจากชีวิตประจำวันเพราะหมดแรงจริงๆ ผมทิ้งเพื่อน กิจกรรมข้างนอก การนั่งอ่านหนังสือสบายๆ การนั่งอ่านข่าว การนั่งฟังเพลง การดูทีวี เรียกว่าตัดทิ้งเกือบทั้งหมดเพื่อเก็บแรงไว้ตอนกลางวัน แต่นั่นก็เพียงช่วงนี้ครับ ผมยังไม่ลงตัว อีกเดี๋ยวพอผมปรับตัวได้แล้ว ผมจะเต็มที่ที่ทำงาน เต็มที่นอกที่ทำงาน และนั่นแหละครับ เป๊บซี่ของผม

เต็มที่กับชีวิต!

ปล. โค้กอย่าได้น้อยใจไป อย่างไรผมก็ยังไม่ดื่มเป๊บซี่ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ
ปล.2 วันนี้แบ่งเวลามาเขียนได้เพราะพลังเหลือนิดหน่อยจากการแอบงีบในรถไฟฟ้าระหว่างทางกลับบ้าน อีกไม่นานผมคงเป็นเซียนในการทำ power nap...