Monday, August 18, 2008

Sydney and me (Part II) - House on the Hill

ประสบการณ์หนึ่งปีใน Sydney ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงทั้งด้านความคิดและมุมมองต่อสิ่งเดิมๆ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างทั้งทางตรงและทางอ้อม หลายอย่างเป็นการฝึกให้ผมมีความอดทนและหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ ลองมาดูกันว่าหนึ่งปีในเมือง Sydney ของผมมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง วันนี้ขอเริ่มจากเรื่องบ้าน...

บ้านที่ผมอยู่ด้วยนั้นอยู่บนยอดเขาโดดๆ เป็นเขาที่ครอบครัวนี้ไปซื้อไว้ ถ้ามองลงไปจะเห็นมีลำน้ำเล็กๆอยู่ สามารถไปพายเรือเล่นได้ ต้นไม้เต็มไปหมดทุกทิศทาง บ้านหลังนี้ dad กับ mum สร้างขึ้นเอง โดยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อ Patrick เป็นคนช่วย ทุกส่วนในบ้านทำเองหมด แต่ด้วยความที่มันอยู่ไกล บ้านนี้จีงไม่มีไฟฟ้าใช้ครับ หมายถึงว่าไฟฟ้าที่ลากสายไฟเข้ามาเนี่ย...ไม่มี ดังนั้นพลังงานในบ้านจึงมาจากแผ่น solar cells และเครื่องปั่นไฟล้วนๆ เราจะดีใจกันมากที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าวันนั้นแดดออกเปรี้ยงๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะเก็บไฟไว้ใช้ได้อีกหลายวัน ถ้าวันไหนแดดแรงหน่อย พวกเราก็จะได้ดูทีวีจนดึกกว่าวันอื่นๆที่ท้องฟ้าปิด

แต่ด้วยความที่มันธรรมชาติสุดๆนี่เอง พวกเรามักจะมีเพื่อนบ้านที่ไม่ได้รับเชิญอยู่หลายครั้ง... ผมเองเป็นคนที่กลัวงูแบบสุดขั้ว มีวันหนึ่งกลับบ้าน mum เปิดถังให้ดูและพบว่ามีงูดำตัวเท่าแขนผมยาวเฟื้อยนอนตายอยู่ในนั้นโดยที่หัวมันระเบิดไปแล้ว มารู้ทีหลังว่า Mark ได้ยินหมาเห่าจึงดูจากหน้าต่างแล้วเห็นมีงูอยู่ Mark จึงไปหยิบปืนมาเล็งยิง ปรากฏว่านัดเดียวอยู่เลย... หรือจะอีกครั้งก็คือมีอยู่คืนหนึ่ง ผมกำลังนอนหลับอยู่ จู่ๆก็มีเสียงดังลั่นที่กำแพงฝั่งที่ผมนอนอยู่ ผมตกใจตื่นดูหน้าต่าง เห็นเงาตะครุ่มๆกระโดดๆไป มารู้ตัวก็ตอนที่ dad ออกมาดูแล้วก็บอกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆว่า มันคือจิงโจ้นั่นเอง นานๆครั้งก็จะมีจิงโจ้ออกมากระโดดเล่นแล้วด้วยความมืด มันคงไม่เห็นกำแพงบ้าน เลยอัดเข้าไปดังโครมขนาดนั้น ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จิงโจ้ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม เหมือนการเห็นหมาในบ้านเราล่ะครับ เพราะมันเยอะใช้ได้ทีเดียว สักพักๆมันก็จะออกมากระโดดแข่งกับรถระหว่างที่เราขับออกไปถนนใหญ่ เห็นมันกระโดดๆแล้วก็รู้สึกประหลาดดีเหมือนกัน ถ้าคุยกันรู้เรื่อง ผมคงจะถามพวกมันว่า "เหนื่อยมั้ย?"

การที่บ้านอยู่บนเขาขนาดนั้นทำให้พวกผมได้ฝึกการเดินแบบ intensive course เลยทีเดียว... ผมและเด็กๆต้องเดินวันละ 7 กิโลเมตรเพื่อไปและกลับจากโรงเรียน อ้อ... ยังครับ เดิน 7 กิโลเพื่อไปและกลับจากรถโรงเรียนอีกทีครับ การเดินไม่ใช่การเดินถนนลาดยางที่มีต้นไม้ปกคลุมร่มรื่นซะด้วย พวกเราเดินกันทั้งบนดิน ทราย หินและถ้าช่วงไหนฝนตกก็ต้องบวกโคลนไปด้วย... 12 เดือนที่อยู่บ้านนั้น ทำให้ผมได้ฝึกความอดทนและฝึกร่างกายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วงแรกๆผมเหนื่อยและอยากจะย้าย host มาก แต่พอผ่านไปสักพัก ผมพบว่าผมมีความอดทนมากขึ้น สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจตลอดเวลาระหว่างที่เดินก็คือ "เดี๋ยวมันก็ผ่านไป" "อีกแป๊บก็ถึง" และ "หยุดตรงนี้แล้วมึงจะถึงบ้านได้ไง" พอเรากลั้นใจเดินไป เดี๋ยวมันก็ถึงจริงๆ ตั้งแต่นั้นมา ผมพบว่าผมเป็นคนใจเย็นมากขึ้น ผมยอมที่จะรอเพื่ออะไรๆได้โดยที่ไม่หงุดหงิดโวยวาย และตั้งแต่นั้นมา หลายๆคนที่รู้จักผมก็มักจะทักว่าผมเป็นคนใจเย็น ทั้งๆที่ตอนเด็กผมเอาแต่ใจและอารมณ์ร้อนสิ้นดี

ความสนุกอีกอย่างก็คือการที่เราใช้วันหยุดเดินลงไปพายเรือเล่นที่ลำน้ำข้างล่าง ถ้าคุณเคยดูหนังฝรั่งที่มีธรรมชาติสวยๆ มีเขาล้อมรอบ น้ำใสๆเย็นๆเห็นตัวปลา ว่ายวนไปมาน่าเอ็นดู มีฝรั่งชายหญิงพายเรือเล่นกัน หน้าตายิ้มแย้ม นั่นละครับ! อารมณ์นั้นเลย ผมกับเด็กๆมักจะลงไปเล่นน้ำ พาย canoe และก็อาศัย sausage ของใครที่ตามที่พาเราลงไปเพื่อประทังชีวิต มันเป็นความสงบ ร่มรื่นที่แสนสบายใจจริงๆ รู้เลยว่าทำไมทาร์ซานชอบอยู่ป่า เพราะอากาศมันเย็นสบาย สดชื่นดีจริงๆ

เป็นไงครับ เรื่องแรก..? ถ้ายังไม่เบื่อไปซะก่อน รออ่านเรื่องต่อไปเร็วๆนี้ครับ

No comments: