Friday, October 1, 2010

Dell Streak ความปราณีตที่ลงตัว

ต้องขอออกตัวว่าการได้ Dell Streak มาเล่นเป็นอะไรที่ออกจะเหนือความคาดหมายพอสมควรครับ เหตุเกิดจากการที่พี่ต่าย ศรีสุดาจาก MCOT ได้ช่วยแนะนำให้รู้จักกับคุณอโณทัยจากทาง Dell และด้วยความกรุณาผมเลยได้มีโอกาสสัมผัสกับ Android tablet ตัวนี้และตกหลุมรักมันทันที :)

เอาละครับ มาดูกันเลยดีกว่าว่ามันเจ๋งยังไง

เริ่มจากตัวเครื่องกันก่อนเลยครับ ความรู้สึกแรกที่เห็นคือ Dell Streak ทำให้ผมรำลึกถึง PSP ทันที วัสดุ, การประกอบและการออกแบบตัวเครื่องทำมาดีมากๆ ขนาดตัวเครื่องบาง เบา และด้วยความที่ด้านหน้าเป็นสีดำมันทำให้มันดูเนียบและน่าหยิบมาเล่นทันทีที่เห็นครับ

Photobucket
ด้านหลังมีโลโก้ Dell และฝาหลังสไลด์เปิดได้

Photobucket
กล้อง 5.0 MP พร้อม Auto Focus

Photobucket
เปิดฝามาก็จะเจอที่ใส่ SIM และ Micro SD card

Photobucket
ด้านหน้ามันเงา มี 3 ปุ่มสัมผัสด้านขวา

Photobucket
ให้เห็นปุ่มกันชัดๆ

Photobucket
อีกด้านเป็นลำโพงและกล้องด้านหน้า

Photobucket
ด้านบนจะมีช่องสำหรับเสียบหูฟัง, ปุ่มปรับเสียง, ปุ่มเปิด-ปิดหน้าจอ และปุ่มสำหรับถ่ายรูป

Photobucket
ดูความบางเมื่อวางบนพื้นเทียบกับ laptop

Photobucket
เมื่อบู๊ตเครื่องแล้วก็จะเจอหน้า Lock Screen

Photobucket
เมื่อปลดล็อคก็จะเจอหน้า Home Screen

Photobucket
หากกดที่ปุ่มเมนูด้านซ้ายบนก็จะมีแถบไอคอนทั้งหมดปรากฏออกมา

แต่พอดีว่าเครื่องที่ผมได้มาเป็นเครื่องตัวอย่างที่มาพร้อมกับ Android 1.6 ดังนั้นผมจึงต้องลงมืออัพเดทเป็น Android 2.1 (Eclair) ซึ่งอาจจะไม่เหมือนตัวที่วางจำหน่ายจริงครับ คราวนี้เราลองมาดูในตัวเครื่องและการใช้งานกันครับ

Photobucket
หน้าตา Lock Screen ใหม่ก่อนเริ่มใช้งาน

Photobucket
พอปลดล็อคแล้วก็จะได้หน้าหลักที่มีไอคอนต่างๆวางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ

Photobucket
พอเรียกเมนูจากด้านซ้ายบนก็จะเจอไอคอนทั้งหมด

Photobucket
พอเลื่อนมากดแถบตรงกลางก็จะเป็น Notification Messages สำหรับแจ้งสถานะต่างๆ

Photobucket
และถ้าเลื่อนมาด้านขวาสุดก็จะเป็นส่วนการจัดการกับการเชื่อมต่อ

Photobucket
หากกดปุ่มสัมผัส Menu ก็จะสามารถดูส่วนของการ Settings ได้

Photobucket
นี่คือข้อมูลเครื่องครับ จะเห็นว่าเป็น 2.1 แล้ว

Photobucket
เมื่อเริ่มมาดูที่การใช้งาน หากกดที่ไอคอน Phone ก็จะมีแถบสำหรับการโทรปรากฏขึ้นมา

Photobucket
หากหมุนตัวเครื่องก็จะได้การใช้งานแนวตั้ง

Photobucket
หน้าตาระหว่างการโทร

ผมได้ทดลองโทรแล้วก็พบว่าจริงๆมันสามารถใช้ตัวเครื่องแนบหน้าและโทรได้ แต่มันอาจจะดูเทอะทะไปสักนิดสำหรับคนตัวเล็กๆ (หน้าเล็กๆ) ดังนั้นการใช้หูฟัง bluetooth น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าครับ

Photobucket
พอทดลองใช้ Browser ก็เล่นเน็ตได้ไม่มีปัญหา ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่าโทรศัพท์ทำให้เห็นรายละเอียดง่ายขึ้น

Photobucket
ส่วนที่ผมชอบก็คือ Google Maps ที่ใช้งานได้ลื่นและเห็นรายละเอียดต่างๆถนัดตา

Photobucket
ถ้าติดตั้งแอพพลิเคชั่นสำหรับการบันทึก ก็จะช่วยให้การจดข้อความสะดวกมาก โดยเฉพาะการอ่าน

Photobucket
สำหรับคนที่ชอบเล่น Twitter แบบผมก็พิมพ์กันมันเลยครับ เพราะการอ่าน Timeline จะสนุกมากเพราะหน้าจอช่วยให้เห็นข้อความเยอะกว่าการเล่นบนมือถือพอสมควร

Photobucket
หรือจะเป็นขา Facebook ก็น่าจะชอบครับ เพราะมันเต็มอรรถรสกว่าการเล่นบนมือถือจริงๆ

Photobucket
เวลาจะพิมพ์ก็ลงมือได้สะดวกซึ่งผมแนะนำให้พิมพ์แนวตั้งจะถนัดกว่าครับ

Photobucket
ขา youtube ก็สามารถนั่งดูคลิปได้เรื่อยๆ

Photobucket
หากใครกลัวตกกระแส E-Book ก็สบายใจได้ เพราะ Streak + Android ก็ทำให้อ่าน E-Book ได้สบายๆ

Photobucket
จากที่ผมได้ลองนั่งอ่าน 15 นาที ผมก็รู้สึกเพลินและไม่มีอาการปวดตาใดๆเลย นอกจากนั้นเนื่องจากตัวเครื่องค่อนข้างเล็กและบาง ทำให้ถือสะดวกและไม่หนัก

Photobucket
ใครกำลังอินกับ Angry Bird ก็ฮาได้เต็มที่ครับ

Photobucket
ส่วนของ Gallery

Photobucket
ส่วนของปฏิทินที่เชื่อมกับ Google Calendar

Photobucket
ส่วนของ Music ผมลองเปิดผ่านลำโพงแล้วเสียงชัดใสดีครับ

จะเห็นว่าการใช้งานพื้นฐานของ Android 2.1 บน Dell Streak ทำงานได้เป็นที่น่าพอใจมาก ด้วยความที่ตัวเครื่องบาง เบาและดีไซน์สวยทำให้การเล่นเพลิดเพลินมาก ตัวแบตเตอรี่ขนาด 1,530 mAh ที่แม้จะฟังดูเหมือนไม่มากเท่าไหร่ แต่พอลองใช้แล้วก็อึดกว่าที่คิดครับ คราวนี้ผมลองเอาออกมาใช้นอกบ้านดูบ้าง

Photobucket
ความที่ถือถนัดมือและตัวเครื่องสวย การหยิบออกมาในที่สาธารณะทำให้รู้สึกหล่อขึ้น 15%

Photobucket
พอทดลองโทรจริงก็ยังรู้สึกว่าการแนบกับหน้าไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก มันยังใหญ่ไปจริงๆ ต้องหา bluetooth มาใช้

Photobucket
Photobucket
แต่การเล่น Facebook, Twitter นี่โดนใจมากๆครับ อ่านได้จุใจและพิมพ์ได้ถนัดมาก

Photobucket
พอจำเป็นจะต้องจดบันทึกอะไรสั้นๆก็ทำได้สะดวกดี

Photobucket
นี่ครับ เล่น Angry Bird โชว์ซะเลย :)

Photobucket
เวลาดูรูป อยากซูมเข้า-ออกก็ทำได้สบายๆ

สรุปแล้วจากการทดลองใช้งานมาได้ร่วมๆ 5 วัน ผมประทับใจเจ้า Dell Streak ตัวนี้มากเพราะการดีไซน์ตัวเครื่องที่บาง เบาและสวย รวมถึง user interface ที่ดูเรียบแต่ไม่น่าเบื่อทำให้ได้ทั้งความสนุกและความสะดวกสำหรับการใช้เป็นผู้ช่วยส่วนตัว สำหรับการใช้งานทางด้านความบันเทิง โดยเฉพาะคนที่ชอบเล่น social networks ต่างๆน่าจะประทับใจเช่นกันเพราะขนาดกำลังเหมาะมือ

สิ่งที่ผมยังรู้สึกติดนิดๆคือขนาด 5" ที่สำหรับผมเองผมรู้สึกว่ามันอาจจะยังเล็กไปนิดสำหรับการใช้งานพวก E-mail ซึ่งผมชอบที่จะอ่านแบบเต็มๆตา นอกเหนือจากนี้ผมว่าผมพอใจกับ Deall Streak มาก

ข่าวที่ได้รับมาก็คือน่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในเดือนตุลาคมนี้ครับ ใครที่สนใจก็รออีกหน่อยละกันนะครับ :)

Sunday, September 26, 2010

ในเกาหลีใต้ "จอ"คือ"เงิน"

ผมเองเคยเป็นคนหนึ่งที่สงสัยว่าบริษัทยักษ์ใหญ่บนโลกออนไลน์อย่าง Google ที่เป็นผู้ให้บริการ search engine ที่ทรงพลังและมีคนใช้เยอะทีสุดในโลกนั้นจริงๆแล้วเป้าหมายของบริษัทคืออะไรกันแน่ เพราะบริการใหม่ๆบางอย่างมันก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับการค้นหาสักเท่าไหร่ จนมีคนหนึ่งบอกผมว่า เป้าหมายระยะยาวของ Google ก็คือการเข้าถึงทุก"จอ"บนโลก ผมถึงได้เข้าใจว่าทำไม Google ถึงพัฒนาแต่ละบริการที่เราเห็นๆกันอยู่ทุกวันนี้

"จอ" ที่ผมพูดถึงไม่ใช่แค่จอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือ laptop แต่รวมไปถึง จอโทรศัพท์มือถือ จออุปกรณ์พกพาต่างๆ จอโทรศัพท์ หรือแม้แต่จอในรถยนต์ ตราบใดที่จอเหล่านี้สามารถต่อกับโลกอินเทอร์เน็ตได้มันจะกลายเป็น"ช่องทาง"ที่มีมูลค่าขึ้นมาทันที จากจุดนี้เองเลยทำให้ผมอยากเขียน blog เพื่อเล่าความสำคัญของ"จอ"ในอีกแง่มุมที่หลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบ

ในธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ตในประเทศที่ก้าวหน้าอย่างเกาหลีใต้ หน้าจอ PC มีความสำคัญมากๆ หากคุณได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศบ้านเกิดแดจังกึมแห่งนี้ อยากให้ลองเข้าไปเยี่ยมร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือที่เรียกกันว่า PC Bang สักแห่งแล้วจะเห็นภาพชัดขึ้นครับ หน้าจอ PC ทุกหน้าจอมีการโฆษณาโดย brand ต่างๆอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นหน้า screen saver, หน้า log in, แถบด้านล่าง, wallpaper เหล่านี้ต่างกลายเป็นช่องทางโฆษณาที่ทำเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ถ้าย้อนอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นก็คือ ธุรกิจร้านเน็ตคาเฟ่ในประเทศนี้ถือว่าเป็นระบบมากๆ นั่นหมายถึงว่าการจัดการบริหารร้านจะมีการใช้ซอฟต์แวร์สำหรับบริหารร้านโดยเฉพาะ ซึ่งซอฟท์แวร์เหล่านี้ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทมืออาชีพเพื่อเน้นตอบสนองการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบคิดเงินในร้าน ระบบสมาชิก ระบบจำหน่ายสินค้า หรือแม้แต่การเติมเงินเข้ากับบริการออนไลน์ต่างๆ โดยซอฟท์แวร์เหล่านี้จะติดตั้งที่เครื่องของเจ้าของร้าน และสามารถที่จะควบคุมเครื่องลูกในร้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากตรงนี้นี่เองจึงเกิดการพัฒนาต่อยอดมาอีกระดับ นั่นก็คือการเชื่อมต่อเครื่องของเจ้าของร้านเข้ากับเซิร์ฟเวอร์กลางของบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์นี้อีกต่อหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือความสามารถในการเก็บ"สถิติ" (เน้นนะครับว่าสถิติ ไม่ใช่ข้อมูลส่วนตัว) ที่เกิดจากการใช้งานในร้านที่ติดตั้งซอฟท์แวร์เหล่านี้ นอกจากนั้นบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เหล่านี้ยังสามารถที่จะสั่งให้เครื่องต่างๆสามารถเปลี่ยน screen saver, waller, banner ฯลฯ ได้ตามต้องการอีกด้วย

ลองนึกดูเล่นๆนะครับ เอาประเทศไทยเราเป็นตัวอย่าง ประเทศเรามีร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ประมาณ 20,000 กว่าร้าน ถ้าร้านหนึ่งมีเครื่องประมาณ 15 เครื่อง เราจะได้จำนวน"จอ"ถึง 300,000 จอที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เป็น Netizen อย่างมีประสิทธิภาพทันที ถ้าเราสามารถทำการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ brand หรือ product ของเราผ่านช่องทางหน้าจอนี้ได้ เราก็จะสามารถเข้าถึงกลุ่มคนยุคใหม่ได้อย่างง่ายดายและด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างคุ้มค่าทีเดียวครับ

สิ่งที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ก็คือ ช่องทาง PC Bang กลายเป็นช่องทางที่บริษัทต่างๆให้ความสนใจอย่างมากและหันมากันงบเพื่อใช้กับช่องทางนี้ บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์บริหารจัดการร้านเหล่านี้สามารถสร้างรายได้จากการขายพื้นที่บน"จอ"ทั่วประเทศได้เป็นเงินถึงหลักพันล้านบาท นั่นยังไม่นับถึงรายได้ที่ได้จากการขาย"สถิติ"ที่เก็บได้อีกด้วย ซึ่งสถิติที่ผมว่านี้ก็คือข้อมูลเช่น ผู้ใช้ชอบเข้าเว็บไหนมากที่สุด มีสัดส่วนเป็น % เท่าไหร่, เกมไหนมีการเล่นมากที่สุด, สเปคคอมพิวเตอร์ในร้าน PC Bang โดยเฉลี่ยเป็นอย่างไร เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความแม่นยำแม้จะไม่ 100% แต่ผมก็กล้าพูดได้ว่ามันแม่นกว่าการทำการวิจัยตลาด หรือการลงพื้นที่โดยทีมงานใดๆแน่ๆเพราะมันเก็บจากตัวเครื่องโดยตรง นั่นหมายถึงว่าการวางแผนการเข้าถึงลูกค้าที่เป็น Netizen จะมีความแม่นยำ และที่สำคัญคือ ข้อมูลเหล่านี้มันสามารถแยกเป็นเขตได้ด้วย ดังนั้นผู้ใช้ข้อมูลจะสามารถเห็นได้ถึงขนาดที่ว่าเขตใดมีพฤติกรรมบนโลกอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นักการตลาดหรือนักขายต้องการตลอดมา ดังนั้นการขายสถิติเหล่านี้จึงสามารถสร้างรายได้ให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์นี้ได้อย่างสวยงามอีกส่วนหนึ่งด้วย

ทีนี้หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าแล้วร้านเน็ตทำไมถึงจะต้องให้บริษัทเหล่านี้มาเอาข้อมูลจากร้านตัวเองไปใช้สร้างรายได้เฉยๆ นั่นเป็นเพราะว่าร้านเน็ตเหล่านี้ก็ได้ผลประโยชน์เช่นกันครับ บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์เหล่านี้เข้าใจดีว่าร้านเน็ตเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้ตนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ดังนั้นรูปแบบของการแบ่งรายได้จากโฆษณา, การทำกิจกรรมแจกของต่างๆจึงเป็นสิ่งกระตุ้นให้ร้านเน็ตอยากติดตั้งโปรแกรมในร้านของตน ตัวอย่างเช่น หากร้าน A ติดตั้งโปรแกรมในร้าน บริษัทจะดูการใช้งานและอาจจะแจกคูปองแลกจอคอมพิวเตอร์ใหม่ในราคาพิเศษมากๆ ซึ่งนั่นคือการลดต้นทุนของร้านอย่างชัดเจน หรือหากมีการใช้โปรแกรมอย่างต่อเนื่องถึงปริมาณที่กำหนดอาจจะได้เงินสดกันเลยทีเดียว ซึ่งกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ทำให้เกิด ecosystem ที่ได้ผลประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน

และนี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยน"จอ"ให้เป็น"เงินนะครับ ส่วนบ้านเราก็มีความพยายามที่จะนำ model นี้มาใช้เหมือนกัน และผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในทีมที่ดูแลเรื่องนี้ แต่ปัจจัยบ้านเรามีหลายอย่างมากๆที่ทำให้มันไม่เกิด ไว้คราวหน้าผมจะมาเล่าให้อ่านนะครับ

Saturday, September 25, 2010

ลาวกับอินเทอร์เน็ต

เมื่อปลายปีที่แล้วผมโชคดีที่มีโอกาสได้เดินทางไปสำรวจตลาดที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรา นั่นก็คือประเทศลาวครับ โดยจุดมุ่งหมายก็คือการไปดูว่าสภาพตลาดมีความพร้อมและมีความต้องการเพียงพอสำหรับธุรกิจออนไลน์หรือเปล่า การเดินทาง 3 วัน 2 คืนของผมเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างดีและได้เห็นอะไรที่น่าสนใจหลายๆอย่างครับ

ผมเดินทางช่วงสิ้นเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีกีฬาซีเกมส์เพียงไม่นานนัก เป้าหมายหลักคือการไปดู Infrastructure ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอินเทอร์เน็ต ช่องทางการจัดจำหน่าย ช่องทางประชาสัมพันธ์ ระบบการชำระเงิน หรือแม้แต่ระบบขนส่ง นอกจากนั้นเราต้องทำการสำรวจตามร้านอินเทอร์เน็ตเพื่อดูว่าลักษณะ lifestyle ของวัยรุ่นที่โน่นเป็นอย่างไรบ้าง วันแรกที่ผมและหัวหน้าไปถึงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาว เราก็เริ่มตระเวณทันที สิ่งแรกที่เราค้นพบก็คือ เมืองหลวงของประเทศมีขนาดเล็กมาก สภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับต่างจังหวัดของไทย ไม่มีตึกสูงๆ ไม่มีระบบการคมนาคมที่ซับซ้อน และการดำเนินชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย ถ้าจะใช้เวลาตระเวณให้ทั่วจริงๆจากการประเมินด้วยสายตาครั้งแรกที่เห็นก็คาดว่าใช้ไม่เกิน 2 วันน่าจะทั่วเมือง

เราเริ่มภารกิจจากการไปเยี่ยมร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ทันที จากการพูดคุยกับเจ้าของร้านจึงได้รู้ว่าค่าบริการอินเทอร์เน็ตในลาวแพงมาก ในขณะที่ทุกวันนี้ชาวไทยสามารถเล่นเน็ตที่ความเร็ว 6 Mbps ในราคาเพียงห้าร้อยกว่าบาท หรือหลักพันต้นๆสำหรับร้านเน็ต สิ่งที่ร้านเน็ตในลาวต้องเผชิญคือราคาร่วมหมื่นบาทสำหรับความเร็ว 1 Mbps โดยเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ร้านเก็บจากลูกค้าแล้วพบว่าไม่ได้แตกต่างจากบ้านเรามากนัก คำถามจึงเกิดขึ้นในหัวผมทันทีว่า แล้วเขาจะคุ้มทุนกันยังไง?

เมื่อเราได้ทยอยเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งได้พบว่าร้านต่างๆเหล่านี้มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ผู้ให้บริการหลักในเวียงจันทน์มี 3 เจ้าได้แก่ Lao Telecom ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Shin Corporation จากบ้านเรานี่เอง โดยมีรัฐบาลลาวถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง (ได้รู้ในภายหลังว่ารัฐบาลถือหุ้นครึ่งหนึ่งในทุก operator) เจ้าที่สองก็คือ ETL และเจ้าที่สามเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งถูกต่างชาติเข้ามาถือหุ้นคือ Tigo ซึ่งแต่ละเจ้าก็จะมีสไตล์การทำการตลาดและรูปแบบราคาที่แตกต่างกัน

หลังจากที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ประเด็นที่เราสนใจต่อก็คือตลาดเกมในลาว ซึ่งก็ได้พบว่ารัฐบาลลาวมีนโยบายในการควบคุมการให้บริการเกมในร้านเน็ตที่ค่อนข้างรัดกุมกว่าบ้านเรา และถึงแม้จะยังไม่มีการบังคับกฎหมายใดๆอย่างเคร่งครัด แต่ร้านต่างๆก็ได้ข้อมูลค่อนข้างตรงกันว่ารัฐบาลไม่สนับสนุนและอาจจะถึงกับห้ามให้มีการเปิดให้บริการเกมในร้านโดยสิ้นเชิงเพื่อป้องกันปัญหาเด็กไม่สนใจเรียนและปัญหาสังคมอื่นๆที่อาจจะตามมา แต่ก็มีข้อยืดหยุ่นคือ ในแต่ละเมืองอาจจะอนุโลมให้มีการจัดตั้งศูนย์เกมได้ 2-3 แห่ง แต่ต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลก่อนและจะไม่สามารถมีมากกว่านี้ได้

เมื่อเริ่มเห็นทิศทางและแนวโน้มในฝั่งของตลาดแล้ว เราก็เริ่มขยับไปที่การพูดคุยกับผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่ได้เราพบระดับผู้บริหารของทั้ง 3 บริษัท ข้อมูลที่เราได้ก็น่าสนใจ เพราะพบว่าจำนวนผู้ใช้บริการเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วอยู่ในหลักแสนเท่านั้น ซึ่งนั่นรวมทั้งมือถือและอินเทอร์เน็ต! อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการกลับได้ก้าวข้ามประเทศเราไปสู่ 3G และ Wi-Max เรียบร้อยแล้ว ผมมีโอกาสได้ทดลอง Wi-Max โดยใช้ notebook ที่ผมพกติดตัวไปและต้องทึ่งเมื่อสามารถดาวน์โหลดไฟล์ขนาดร่วม 10 MB เสร็จโดยยังไม่ทันนับเวลา ผมได้สอบถามถึงจำนวนผู้ใช้และก็ได้คำตอบที่ไม่น่าแปลกใจนั่นก็คือหลักร้อยคน แต่รายต่างๆก็มองว่ามันเป็นบริการที่มีอนาคตและสิ่งที่จะมาช่วยขับเคลื่อนให้เติบโตได้ก็คือ content นั่นเอง

ผมได้สอบถามต่อว่าการตั้งราคาที่สูงขนาดนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำตลาดหรือ และก็ได้คำตอบว่าสาเหตุที่ราคาสูงก็เพราะต้นทุนการเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ หรือ international bandwidth ที่ต้องจ่ายให้กับหน่วยงานหนึ่งที่เรารู้จักกันดี นั่นก็คือ CAT ของบ้านเรานั่นเอง โดยทั้ง 3 เจ้าจะต้องวิ่งออกผ่าน CAT ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ทำให้ operator ไม่สามารถลดราคาให้กับลูกค้าได้มากนัก แต่หากร้านใดจะใช้เพียง domestic bandwidth เพียงอย่างเดียว ราคาก็อาจจะลดได้มากกว่า 50% ทีเดียว สิ่งที่ operator พยายามหาทางออกก็เลยเป็นการเปลี่ยนไปวิ่งผ่านจีนซึ่งยังไม่เต็มรูปแบบ แต่ผมเชื่อว่าหากมีทางเลือกมากขึ้น ราคาก็น่าจะลดลงได้อย่างแน่นอน

เมื่อขยับมาถึงส่วนของการประชาสัมพันธ์ เราพบว่าสื่อโทรทัศน์และเว็บไซต์ของลาวเองไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นลาวนัก เพราะวัยรุ่นมักจะดูรายการจากช่องของไทยและเข้าไปอ่านเว็บต่างๆของไทยเช่นกัน ยิ่งเป็นนิตยสารต่างๆแล้วยิ่งเข้าไม่ถึง สื่อที่น่าจะมีประสิทธิภาพที่สุดจึงกลายเป็น SMS ไปโดยปริยาย

เมื่อเราได้ข้อมูลต่างๆเหล่านี้แล้วเราจึงเริ่มเห็นทิศทางชัดเจนมากขึ้น การจะเข้าไปทำธุรกิจออนไลน์ในลาวมีปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยหลักๆได้แก่ ข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, การประชาสัมพันธ์ และขนาดของตลาดที่ค่อนข้างเล็ก นอกจากนั้นโครงสร้างภาษีก็แตกต่างจากบ้านเราและโดยรวมแล้วบริษัทต่างๆจะต้องเสียภาษีค่อนข้างเยอะพอสมควร ดังนั้นแผนการขยายธุรกิจจึงกลายเป็นโจทย์ให้ต้องกลับมานั่งคิดกันใหม่หมด

ผมไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ แต่หวังว่าสิ่งที่ผมเล่ามาน่าจะช่วยให้หลายๆท่านได้เห็นภาพของเพื่อนบ้านเราได้ชัดขึ้นบ้างนะครับ หากใครมีข้อมูลหรือคำแนะนำก็แบ่งปันกันบ้างนะครับ :)

Sunday, September 19, 2010

งานเปิดตัว Garmin-Asus A10

หลังจากที่ได้เอา Garmin-Asus A10 มาเล่นได้สัปดาห์กว่าๆ ก็ถึงเวลาไปร่วมงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Android น้องใหม่ตัวนี้ซะที ต้องขอชมว่าทีมงานทำได้ดี โดยเฉพาะเรื่องสถานที่ที่ร้าน Boqueria ที่ตึก All Seasons ที่เคยเป็นร้าน Pomodoro มาก่อน เนื่องจากผมชอบอาหารและบรรยากาศร้านนี้เป็นการส่วนตัวครับ ฮ่าๆ :P

ในงานวันเสาร์ที่ผ่านมาถือว่ามีคนให้ความสนใจเยอะพอสมควร เรียกว่าเต็มร้านแบบพอดีๆ เอาเท่าที่ประมาณด้วยตัวเองผมว่าน่าจะเกิน 120 คนครับ ซึ่งประกอบไปด้วย blogger, สื่อ และผู้ที่สนใจทั่วไป โดยในงานมีทีมงานมาแนะนำตัว A10 อย่างครบถ้วนทุกมุม รวมถึงมีผู้บริหารหญิงจากไต้หวันมาร่วมด้วย ที่เหลือก็เป็นแขกที่ได้รับเชิญให้ร่วมแนะนำแอพพลิเคชั่นและการใช้งานครับ

นอกจากจะมีคนให้ความสนใจเยอะแล้วยังได้ยินมาว่ายอดจองถึงกับทำให้ทีมงานยิ้มไม่หุบเพราะเกินเป้า แต่เสียดายที่การจัดเตรียมของมีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อยทำให้ไม่สามารถให้เครื่องได้ทันที คนที่สั่งจึงต้องรอ 3-4 วัน ครับ

Photobucket
ภาพบรรยากาศก่อนเริ่มงาน

Photobucket
พื้นที่ในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ

Photobucket
อาหารร้านนี้อร่อยมากกกก!

Photobucket
ตัวอย่างเครื่องที่ตั้งแสดงในบริเวณงาน

Photobucket
อาหาร อาหาร อาหาร...

Photobucket
ผู้บริหารหญิงที่บินมาร่วมงาน

Photobucket
ผมขึ้นพูดแนะนำ Tips ในการใช้ Android (ขโมยรูปมาจาก @kafaak :P)

Photobucket
ในงานมีโปรโมชั่นลดราคาสำหรับผู้ที่มาร่วมงาน

Saturday, September 11, 2010

Garmin-Asus A10 ... เมื่อผู้นำระบบนำทางมาเจอหุ่นกระป๋องล้ำยุค

หลังจากที่ได้ลองเล่น Garmin-Asus M10E ก่อนหน้านี้ได้ไม่นานและรู้สึกว่ามันก็เป็นโทรศัพท์รุ่นที่ค่อนข้างโอเค มาอาทิตย์นี้ผมได้มีโอกาสใช้งานรุ่นถัดมาอย่างจริงจังด้วยตัวเองซะที รุ่นที่ว่าก็คือ Garmin-Asus A10 โทรศัพท์ผสานระบบนำทางที่ออกมาได้ค่อนข้างลงตัว

Photobucket
Garmin-Asus A10 ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.1

ครั้งแรกที่ได้สัมผัสรู้สึกได้ทันทีถึงวัสดุที่ค่อนข้างดีและขนาดกำลังพอดีมือ แต่บอกตรงๆครับว่าผมไม่ได้ดูสเปคมันมาก่อน ผมเลยรีบค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเครื่องและก็ได้รายละเอียดหลักๆมาดังนี้
  • 2G Network: GSM 850/900/1800/1900, 3G Network: HSDPA
  • DISPLAY: TFT capacitive touchscreen, 320 x 480 pixels, 3.2 inches
  • MEMORY: microSD, up to 16GB
  • CAMERA: 5 MP, 2592х1944 pixels, autofocus, Geo-tagging
  • Android OS
  • Java via third party application
  • Location-based applications
  • BATTERY: Standard battery, Li-Ion 1500 mAh (สำหรับผมแล้วข้อนี้คือ highlight เลยครับ)
แล้วผมก็รีบเอา SIM จากเครื่องที่ใช้อยู่มาทดลองทันที โดยไม่พลาดเก็บภาพตัวเครื่องไว้ก่อนด้วย

Photobucket
Photobucket

เมื่อใส่ซิมเสร็จเรียบร้อยก็เปิดเครื่องมาเห็นเจ้าตัวเขียวพร้อมโลโก้ของผู้ผลิตทันที
Photobucket

เมื่อบู๊ตเครื่องเสร็จแล้วก็เข้ามาสู้หน้า lock screen ของ Android ที่ดูสดสว่างใช้ได้ทีเดียว
Photobucket

พอลองถือดูก็จะเห็นว่าขนาดมันกำลังพอดีมือของผมจริงๆ

Photobucket

ตัวเครื่อง Garmin-Asus A10 มีปุ่มเปิดปิดเครื่องอยู่ด้านซ้ายบนและปุ่มปรับเสียงอยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง นอกจากนั้นก็จะเป็นปุ่มแบบสัมผัส 3 ปุ่มคือ Back อยู่ซ้ายสุด Home อยู่ตรงกลางและ Menu อยู่ด้านขวา ซึ่งการตอบรับก็รวดเร็วดี จากนั้นเมื่อผม unlock แล้วก็จะเข้าสู่หน้าหลักของตัวเครื่อง ซึ่ง User Interface นี้มีชื่อว่า Breeze UI จะมีหน้าแรกเน้นไปที่ระบบนำทางให้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

Photobucket

เมื่อลองเลื่อนหน้าจอไปทางด้านขวาก็จะพบไอคอนของแอพพลิเคชั่นต่างๆตามแบบฉบับของ Android ที่เราคุ้นเคย

Photobucket
Photobucket

ซึ่งหากต้องการเรียกดูหน้าทั้งหมดก็สามารถกดที่ปุ่ม Home มันก็จะแสดงผลเป็นหน้ารวมหน้าย่อย นอกจากนั้นยังสามารถเพิ่มหน้าได้อีกหากต้องการ

Photobucket

แต่สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนหน้าตาของตัวเครื่องก็สามารถเลือกใช้ Classic UI ได้ หน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ครับ

Photobucket

ซึ่งเมนูทั้งหมดจะย้ายไปอยู่ด้านขวา หากต้องการเรียกใช้งานก็สามารถเรียกแถบออกมาได้โดยการเลื่อนแถบไปทางซ้ายมือ เราก็จะเห็นไอคอนทั้งหมดและสามารถเลื่อนขึ้นลงเพื่อดูได้

Photobucket

คราวนี้เราลองมาดูในส่วนของการใช้งานหลักๆกันบ้างนะครับ เริ่มจากส่วนสำคัญของโทรศัพท์ นั่นก็คือการโทร...

Photobucket

จะเห็นว่าแถบหมายเลขค่อนข้างใหญ่และกดได้สะดวกมาก นอกจากนั้นแถบด้านบนจะแบ่งเป็นหมายเลขที่ติดต่อล่าสุด, รายชื่อทั้งหมด และหมายเลขกลุ่มที่ตั้งไว้สำหรับติดต่อบ่อยๆอีกด้วย

Photobucket

มาดูในส่วนของกล้องบ้างครับ การถ่ายภาพก็ทำได้ง่ายดี และสามารถปรับแต่งโหมดการถ่าย การปรับเอฟเฟคต์ และขนาดของภาพได้ตามที่ต้องการ

Photobucket
ภาพระหว่างที่ถ่าย

Photobucket
ภาพที่ได้จากการถ่ายโดยไม่ตั้งค่าใดๆ

ซึ่งเท่าที่ลองถ่ายรูปดูผมก็ค่อนข้างโอเคกับคุณภาพของภาพที่ได้ และชัตเตอร์ก็ค่อนข้างเร็วแม้จะไม่ทันทีก็ตาม และในส่วนของการเล่นวิดีโอก็ใช้งานได้ดี ผมลองกับไฟล์ที่มากับเครื่องก็จะเห็นว่าลื่นและชัดเจนดี

Photobucket

สำหรับ browser เองหน้าตาแปลกไปเล็กน้อยจากตัวที่มากับ Android แต่ในการใช้งานบน A10 ก็ถือว่าใช้งานได้ปกติ สามารถแสดงผลได้ครบถ้วนและไม่มีปัญหาใดๆกับภาษาไทย ยกเว้นแต่การกดให้ตรงกับลิงค์ที่เป็นภาษาไทยซึ่งเป็นปัญหามาตรฐานของโทรศัพท์ Android ทุกรุ่นอยู่แล้ว

Photobucket
Photobucket
Photobucket

ส่วนของ Gallery ก็มาตรฐานและช่วยให้การแชร์รูปทำได้อย่างง่ายดายผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอีเมลล์, Facebook, Twitter ก็ทำได้ทันที

Photobucket
Photobucket

ที่น่าสนใจก็คือส่วนของการส่งข้อความที่สามารถส่งพิกัดที่เราอยู่ให้ผู้รับได้ด้วย แต่เท่าที่ผมลองมันไม่ส่งไปยังรุ่นอื่น ผมเดาว่ามันคงจะส่งไปหาเครื่องที่เป็น Garmin ด้วยกันครับ ส่วนข้อความอื่นๆนั้นก็ทำงานได้ปกติดีครับ

Photobucket

ที่เรียกว่าโดดเด่นก็คือส่วนของ Settings หรือการตั้งค่า ซึ่งจากที่ผมลองเรียกได้ว่ามันมีส่วนให้ตั้งค่าเยอะมาก! เราสามารถตั้งค่าของการใช้งานได้ละเอียดมาก ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่มากับตัว Android อยู่แล้วที่แม้จะถูกจัดวางจำแหน่งใหม่แต่ก็ยังครบถ้วน และส่วนที่มากับระบบของ Garmin ก็หลากหลายมาก

Photobucket
Photobucket

ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่เป็นจุดแข็งของ Garmin-Asus A10 นั่นก็คือระบบนำทางจาก Garmin ซึ่งเราสามารถใช้งานได้จากหน้าหลักของเครื่องเลย โดยเริ่มจากการป้อนสถานที่ที่ต้องการจะไป

Photobucket

จากนั้นตัวโปรแกรมก็จะทำการค้นหาและแสดงผลตัวเลือกทั้งหมด

Photobucket

เมื่อเจอจุดหมายปลายทางที่ต้องการแล้วก็สามารถคลิกดูตำแหน่งบนแผนที่ได้ ซึ่งที่ผมชอบก็คือการที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะโทรติดต่อสถานที่นั้นๆหรือเลือกให้ตัวโปรแกรมนำทาง

Photobucket

ถ้าเลือกที่การโทรตัวโปรแกรมก็จะโทรติดต่อให้ทันที

Photobucket

หรือถ้าต้องการให้นำทาง ตัวโปรแกรมจะถามว่าเป็นโหมดการขับรถหรือการเดิน

Photobucket

จากนั้นก็จะแสดงแผนที่และเริ่มนำทางทันที

Photobucket

ซึ่งผมก็สามารถที่จะดูระหว่างที่อยู่บนรถได้ตลอดทางทั้งในรูปแบบการนำทาง และรูปแบบแผนที่ทั่วไป

Photobucket
Photobucket

แต่จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกอย่างของ A10 ก็คือความสามารถในการจับภาพหน้าจอได้ ทำให้เราสามารถจับภาพเพื่อส่งให้กับเพื่อนได้อีกด้วย

Photobucket
Photobucket

นอกจากการนำทางแล้ว Garmin-Asus A10 ยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆอีกหลายอย่าง เรียกว่าครบสูตรของ Garmin เลยจริงๆ ซึ่งผมได้ลองเล่นโดยค้นหาสถานที่ที่น่าสนใจต่างๆก็ได้ข้อมูลที่หลากหลายและน่าประทับใจมาก

Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket

หลังจากที่ลองเล่นมาได้ไม่กี่วันผมก็รู้สึกว่า Garmin-Asus A10 เป็น Android อีกรุ่นที่น่าสนใจ ทั้งวัสดุของตัวเครื่องที่ค่อนข้างดี หน้าจอสัมผัสที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและไม่หน่วง สีที่ค่อนข้างสดและสว่าง และแบตเตอรี่ที่ทำให้สามารถใช้งานได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกลัวแบตฯหมดระหว่างวัน หากจะมีจุดที่ผมยังไม่คุ้นก็คือการที่ตัวเครื่องไม่มี trackball หรือ trackpad แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้มาตั้งแต่แรกอาจจะไม่รู้สึกอะไรก็ได้ครับ นอกจากนั้น เนื่องจากว่า OS ของเครื่องที่ผมลองยังไม่ใช่ตัวที่จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ดังนั้นผมยังพบปัญหาในการพิมพ์เล็กน้อย แต่เชื่อว่าเมื่อถึงเวอร์ชั่นที่วางขายอย่างเป็นทางการปัญหานี้คงหมดไป

ผมขอให้คะแนน Garmin-Asus A10 ที่ 8/10 และน่าจะได้ 8.5/10 ได้ง่ายๆหากราคาขายไม่เกิน 14,000 บาทเพราะจะถือว่าการใช้งานคุ้มกับราคามากครับ