Sunday, October 5, 2008

Wonderful weekend

ช่างเป็นศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ที่ยอดเยี่ยมไปเลย... สงสัยว่ากฎแห่งแรงดึงดูดจะใช้ได้แฮะ ผมเริ่มต้นด้วยการไปกินข้าวเย็นกับพี่ๆที่ Mycom ที่ร้าน Tohkai ตรงซอยธนิยะ นานแล้วที่ไม่ได้เจอกันเยอะๆแล้วก็หัวเราะกันแบบหลุดโลกแบบนี้ การหัวเราะนี่มันเป็นยาจริงๆด้วย มันเหมือนห้องย้อนเวลายังไงยังงั้น ผมนึกถึงเมื่อหลายปีที่แล้วที่ผมยังเป็นส่วนหนึ่งของ Mycom และพวกเราทำงานกันแบบบ้าคลั่ง แต่ก็ยังพอจะมีเวลามากินกันแบบกระเพราะรั่วได้ เรื่องกินนี่มันเป็นงานหลักอีกอย่างของพวกเราเลยก็ไม่ปาน ผมเหมือนได้กลับบ้านที่มีพี่ๆเต็มไปหมด เนื้อก็อร่อยนะ แต่ผมว่ามื้อนี้มันไม่ใช่แค่รสชาติ ตั้งใจไว้ว่าต่อจากนี้ไปจะต้องเจอกันบ่อยขึ้น ซักสองเดือนครั้งได้ก็คงจะดี...

หลังมื้อเย็นผมก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆต่อ ก็บังเอิญเจอ"แขน"ด้วย แต่ก็ไม่เป็นไรมาก คุยกันแค่พอเป็นพิธี วันรุ่งขึ้นผมนัดทานมื้อเที่ยงกับเพื่อน MIM... เหมือนกับนานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้เจอสามสี่คนนี้ ผมเหมือนเพิ่งตื่นอีกแล้ว ผมรู้ตัวทันทีเลยว่าผมคิดถึงการใช้ชีวิตแบบสบายๆกับเพื่อนๆเหล่านี้จริงๆ... ที่ผ่านมาผมไปมัวทำอะไรอยู่ ผมมองข้ามคนดีๆรอบตัวเหล่านี้ไปได้ยังไง

พอกินเสร็จผมก็ไปเจอน้องๆ MIM อีกรุ่น ไปดูหนัง Clone Wars มา ถึงจะงีบไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นหนังที่สนุกดี จากนั้นก็ไปหาอะไรกินแล้วก็บังเอิญมีคอนเสิร์ตของ K Bank โอ้.. ได้ดูคิ้ม เบน โก้ แล้วก็โก๊ะตี๋ฟรีๆซะงั้น นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมชอบมาก ใช่แล้วครับ.. ดนตรี ทุกครั้งที่ผมหลุดไปอยู่ในโลกของดนตรี ผมจะหลุดจากพันธนาการทั้งปวงไปด้วยเหมือนกัน ผมสาบานได้เลยว่าถ้าคิ้ม โก้ เบนมีความสามารถพอที่จะเล่นดนตรีโดยไม่หยุดเป็นเวลา 24 ชม.ได้ ผมก็มีปัญญาที่จะนั่งฟังไปเรื่อยๆได้เหมือนกัน (ฟังดูกินแรงชาวบ้านจริงๆ)

เช้าวันนี้ (วันอาทิตย์) เป็นวันที่ผมรอมานาน... งาน Open House ของ MIM ครับ นี่เป็นปีที่ 3 แล้วที่ผมได้เป็น speaker บนเวที มีคนฟังมากมาย บรรยากาศที่คุ้นเคย คนที่คุ้นเคยเต็มไปหมด นี่ก็เป็นบ้านอีกหลังของผมเหมือนกัน (ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมือนคนมีหลายบ้าน) แต่ผมสนุกกับ Open House ทุกๆครั้ง.. ไม่ดิ ผมสนุกกับทุกๆงานที่เป็นของ MIM ต่างหาก วันนี้ก็เจอ"แขน"อีกเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้คุยกันเลย นอกจากกลับบ้านแล้วก็ MSN ไปบอกว่างานที่เค้าเตรียมมาค่อนข้างดี ตกเย็นผมก็ไปนวดที่ปากซอยมา เป็นการนวดที่ดีที่สุดครั้งนึงเลยทีเดียว พี่แกกะว่าจะเหยียบผมให้ตายเลยก็ว่าได้ เจ็บโคตรแต่พอเสร็จแล้วสบายตัวจริงๆ เค้าเองก็คงถูกใจผมไม่น้อย เห็นชมใหญ่ว่า "นี่น้องก็ชอบให้นวดแรงๆเหมือนกันนะนี่ เป็นคนอื่นร้องไปแล้ว" ผมตอบสั้นๆง่ายๆ "พี่ ไอ้ที่ผมไม่ร้องไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกอะไร แค่ร้องไม่ออกครับ" -_-" คราวหน้าตั้งใจแล้วว่าจะนวดกับพี่คนนี้อีก ใครอยากลองก็เชิญได้นะครับ พี่เค้าชื่อพี่พยอม ร้านสะบันงา ปากซอยอารีย์สัมพันธ์ 5 ครับ

ตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว จริงๆแอบคิดอยู่ว่าจะนอนเลยดีมั้ย แต่พอนึกไปนึกมา ถ้ามันนอนอิ่มตั้งแต่ตีสี่เนี่ย ตูจะตื่นมานั่งทำอะไรวะ เลยนั่งดูทีวีไปก่อน อ้อ... เพื่อนโอ๋เพิ่งโทรมาเมื่อกี๊ มันบอกว่าเพิ่งจะรู้ว่าจริงๆผมมี secret admirer เยอะเหมือนกัน ฟังแล้วก็แอบดีใจ ถึงจะพอได้ยินว่ามีคนนั้นคนนี้แอบชื่นชมบ้าง แต่พอมีเพื่อนที่(แม่ง)ไม่เคยมองเห็นจุดนี้ของเรามาบอก ฟังแล้วมันก็แอบหัวใจพองโตไม่ได้ ดีใจๆ ^^ อืม เขียนไปเขียนมาก็ไม่รู้จะเขียนไรต่อแล้ว แค่รู้สึกมีความสุขแล้วอยากจะเล่าให้ใครฟัง

เอาเป็นว่าพอก่อนละกันนะครับ ไว้จะมาเล่าใหม่ ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจใน blog ที่แล้วนะครับ ผมรู้สึกได้ถึงความห่วงใยของทุกคน ผมดีใจที่ผมมีคนดีๆรอบตัวมากมาย ผมจะไม่ลืมเลยจริงๆ เบิร์ดรักทุกคนนะครับ

Tuesday, September 30, 2008

ก็แค่ตัดแขนทิ้ง ชีวิตยังไปต่อไป

สองคืนที่ผ่านมา ใช้เวลารวมๆกว่า 5 ชั่วโมงในการคุยโทรศัพท์ ผมมีเรื่องราวที่ทำให้ต้องรู้สึกแย่มากๆเข้ามาให้ปวดกบาลอีกแล้ว ชีวิตเป็นไรเนี่ย เรื่องน่าเหนื่อยหน่ายเมื่อไหร่จะหมดซะที ในที่สุดวันนี้ผมก็ถึงจุดที่ผมเก็บต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เป็นจุดที่ผมถึงขีดสุด ต้องตัดมันออกไปชีวิตอย่างเด็ดขาด แล้วการตัดอะไรออกไปจากชีวิตแต่ละครั้งมันก็ทำให้ผมต้องน้ำตาตกทุกที แต่ทุกครั้งที่ผมเป็นอย่างนี้ ผมก็รู้ตัวดีว่า อีกแป๊บเดียว ผมก็จะแข็งแรงขึ้นอีก

ผมบอกกับตัวเองมาตลอดหลายๆเดือนที่ผ่านมาว่าผมแข็งแรง ผมไม่เป็นไร ผมเดินต่อไปได้แล้ว ผมไม่อ่อนแอ จนไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมก็รู้ตัวว่าผมคงจะอวดดีมากเกินไป... การค้นพบอะไรที่ไม่ควรจะรู้เมื่อวาน เป็นจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ มันเหมือนเหตุการณ์ในอดีตกลับมาฉายภาพซ้ำต่อหน้า แถมเป็นฉากบังคับดู ปิดตาไม่ได้ ปิดหูก็ยังได้ยิน Reality bites มันหมายถึงอย่างนี้นี่เอง ความจริงบางครั้งมันเจ็บปวดจริงๆ แต่ต่อให้เลือกใหม่ ผมก็ยังเลือกที่จะรู้ คราวนี้หนักกว่าครั้งอื่นๆ แต่ไม่เป็นไร ไม่ตาย เจ็บแค่ไหน ร้องไห้ให้หมดสภาพยังไง พรุ่งนี้ตื่นมา ชีวิตก็จะเดินต่อไป

ผมโทรคุยกับเพื่อนคนนึงนานมาก ทั้งพบความจริงที่ไม่เคยรู้ และยืนยันสิ่งที่ผมเคยสงสัย ผมจุกแอ้กอยู่สักพักแล้วก็รู้สึกดีขึ้น ผมตั้งใจว่าผมจะตัดสิ่งที่ทำร้ายผมออกจากชีวิตในทันที วันนี้ ผมก็ทำอย่างนั้นจริงๆ สิ่งที่เคยสำคัญที่สุด มีความหมายที่สุด รักที่สุด วันนี้ผมตัดมันออกไปแล้ว เหมือนแขนข้างนึง มันกำลังจะเน่า วันนี้ผมเลือกที่จะมีชีวิตต่อไป แขนหายไปข้างไม่เป็นไรหรอก แต่พอตัดไปแล้วจริงๆ ผมกลับเจ็บแฮะ ตั้งแต่เย็นมาผมโหวงเหวงมาก แขนผมหายไปไหน ผมจะทำอะไรได้ยังไง แขน แขน..!! เอาแขนคืนมา.. แล้วก็ถึงจุดที่ผมจุกจนจะอ้วก ผมอยู่เฉยไม่ได้ ผมอยากคุยกับใครสักคน ผมมองดูเบอร์แล้วผมก็เพิ่งจะรู้ว่า เวลาที่ผมต้องการคุยกับใครสักคนจริงๆ คนที่จะรับฟังจริงๆ มันมีไม่มากเท่าไหร่... ผมเลือกโทรหาคนที่เคยโทรมาร้องไห้กับผม เพราะผมรู้สึกสบายใจที่สุดสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ พอโทรไป เจ้าตัวไม่รู้ว่าเกิดไรขึ้น เสียงร่าเริงมาทักทายผมเชียว พอผมยังไม่ทันเล่าอะไร ผมก็ระเบิดออกมาแบบไม่กั๊ก น่าอายจริงๆเลยกู เจ้าตัวตกใจเล็กน้อย มึงไม่เคยโทรหากูเลย พอโทรมา มึงก็โฮใส่กูเลยนะ เค้าคงคิดอย่างนั้น น่าอายสิ้นดี... แต่พอผมหมดก๊อกแล้ว ผมก็สบายใจขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เออ... ร้องไห้บ้างมันก็ดีนะ เก็บไว้อย่างเดียวมีแต่จะจุก ผมรู้ว่านี่แหละ จุดจบของความทุกข์ทั้งปวง ผมสั่งลามันด้วยการร้องไห้ครั้งใหญ่ไปละ ผมจะไม่วกกลับมาเรื่องนี้อีก ผมไม่อยากอ่อนแอแบบนี้อีก ผมร้องไห้ไว้ทุกข์ให้เรื่องน่าปวดกบาลนี้ละ ผมจะไปต่อละ...

ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อให้ผมจบเนี่ย เรื่องกวนใจนี่มันจะจบไปด้วยหรือเปล่า ผมได้แต่หวังว่ามันจะไม่กลับมาอีก บทเรียนนี้แสนแพง ผมจะจำและเรียนรู้จากมัน ผมขอให้มันไม่เกิดขึ้นอีก แต่ต่อให้มันเกิดจริงก็เอาดิ แค่นี้ไม่ตายหรอก จะให้ปวดจี๊ดอีกสิบครั้งก็โอเค เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป

แขนเอ๋ย...ไปดีเถอะนะ

Monday, September 15, 2008

สองวันสองคืนในพัทยา

นานแล้วที่ไม่ได้ไปพัทยาแบบสนุกๆ ครั้งล่าสุดก็คือเมื่อปีที่แล้วที่ผมไปกับ Oreo ตอนนั้นผมยังเป็นแฟนกับหนึ่งใน Oreo อยู่ เป็นการไปที่สนุกมาก และก็เปลี่ยนความรู้สึกที่ผมมีต่อพัทยาไปมากทีเดียว จากเดิมที่ภาพของพัทยาคือเมืองผับ บาร์ ผู้หญิงขายบริการ มันทำให้ผมได้เห็นว่า พัทยายังหมายถึง ร้านอาหารอร่อยๆ บ้านเด็กกำพร้า และความเป็นส่วนตัวอีกด้วย

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้กลับไปพัทยาอีกครั้ง คราวนี้ต่างไปจากเดิม ผมไม่ได้เป็นแฟนกับใครใน Oreo เราทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด แต่ความรู้สึกสนุกที่ได้จากครั้งที่แล้วยังเหมือนเดิม เราได้สัมผัสกับพัทยาในด้านสว่างอย่างเต็มที่ สองวันกับการใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในน้ำและริมสระเป็นการพักผ่อนที่รู้สึกดีมากๆๆๆ การได้กลับไปบ้านเด็กกำพร้าแล้วพบว่าเด็กหลายๆคนที่เราได้เล่นด้วยในปีที่แล้วได้รับการอุปถัมป์ไปแล้ว เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ พวกเราใช้เวลาเล่นกับเด็กไม่มากนักในปีนี้ แต่ผมก็ยังสนุกจริงๆกับการทำให้เด็กๆหัวเราะ ทุกคนเห็นตรงกันว่าผมเก่งในการเล่นกับเด็ก ผมทำให้เด็กหัวเราะได้ง่าย และเด็กก็ชอบมาเล่นกับผม ผมว่ามันเกิดจาก The Secret ของผมมั้งครับ ทุกครั้งที่เล่นกับ เด็กๆเหล่านี้ ผมมีความตั้งใจเดียว คืออยากให้เด็กหัวเราะ มันคงจะกลายเป็นแรงดึงดูดที่เด็กสัมผัสได้ ผมแอบตั้งตารอที่จะกลับมาอีกครั้งในปีหน้า แม้ว่าจะไม่ได้มากลับกลุ่มนี้อีกก็ตาม ผมอยากจะเห็นว่าเด็กๆที่ผมเล่นด้วยในปีนี้ จะมีกี่คนมีคนใจดีมารับไปเลี้ยงดู ผมอยากให้เด็กๆเหล่านี้ได้พ่อแม่บุญธรรมที่ใจดีรับไปดูแล หนึ่งในนั้นอาจจะกลายไปเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่และทำให้ประเทศเราหรือประเทศใดๆก็ตามน่าอยู่ขึ้น แม้ในวันนี้เค้าจะยังงอแงและชอบดึงผมบนหัวของผมยังกะเป็นของเล่นก็ตาม -_-"

blog วันนี้สั้นๆแค่นี้ละกันครับ แค่อยากจะบอกว่าผมมีความสุขมากกับการไปพัทยาครั้งนี้ ไว้เดี๋ยวได้รูปแล้วจะเอามาลงให้ดูนะครับ

Thursday, August 28, 2008

18 อย่างที่บอกว่าคุณกำลังรักใครอย่างจริงจัง

มีคนเขียนไว้ว่า ถ้าคุณมีลักษณะ 18 อย่างต่อไปนี้กับใครสักคน คุณกำลังตกหลุมเค้าอย่างจริงจัง และคนๆนั้นคือรักที่คุณตามหา... ผมเองยังไม่เคยมีครบทั้ง 18 อย่างให้กับใคร แต่ผมเคยให้คนคนหนึ่ง 15 ข้อกว่าๆ... กว่าๆคือมันพูดไม่เต็มปากว่าจริง แต่ 15 ข้อที่ว่านี่ตรงแน่นอน

ลองดูนะครับ ว่าคุณเองเคยรักใครแล้วมีครบทั้ง 18 ข้อหรือเปล่า ถ้ามี...ดูแลคนๆนั้นๆให้ดีๆนะครับ

1. You are comfortable and secure in your relationship. You trust that your partner won't hurt you and there is no need of suspicion or jealousy.
2. You have remained together through good times and bad.
3. Thoughtful things are done just because it makes both of you feel good.
4. Neither of you make sacrifices, only compromises.
5. Your significant other has told you of their deep feelings, and they are returned.
6. Your affections for your partner make you feel special and good about yourself.
7. When there is a fight, you usually make up after only a few hours and agree that nothing is more important than both of you expressing your true feelings, even if they cause conflict.
8. You and your partner feel no need to test each others feelings or loyalties.
9. You can be yourself when with your partner more so than anyone else.
10. You've forgotten your ex.
11. You can't stop thinking about your partner.
12. You care about your significant other more than anything.
13. You find your partners quirks charming.
14. You have great chemistry.
15. You don't notice others as much.
16. You love spending time together.
17. Other priorities take a backseat.
18. You start thinking about your future together.

Monday, August 18, 2008

Sydney and me (Part II) - House on the Hill

ประสบการณ์หนึ่งปีใน Sydney ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงทั้งด้านความคิดและมุมมองต่อสิ่งเดิมๆ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างทั้งทางตรงและทางอ้อม หลายอย่างเป็นการฝึกให้ผมมีความอดทนและหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ ลองมาดูกันว่าหนึ่งปีในเมือง Sydney ของผมมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง วันนี้ขอเริ่มจากเรื่องบ้าน...

บ้านที่ผมอยู่ด้วยนั้นอยู่บนยอดเขาโดดๆ เป็นเขาที่ครอบครัวนี้ไปซื้อไว้ ถ้ามองลงไปจะเห็นมีลำน้ำเล็กๆอยู่ สามารถไปพายเรือเล่นได้ ต้นไม้เต็มไปหมดทุกทิศทาง บ้านหลังนี้ dad กับ mum สร้างขึ้นเอง โดยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อ Patrick เป็นคนช่วย ทุกส่วนในบ้านทำเองหมด แต่ด้วยความที่มันอยู่ไกล บ้านนี้จีงไม่มีไฟฟ้าใช้ครับ หมายถึงว่าไฟฟ้าที่ลากสายไฟเข้ามาเนี่ย...ไม่มี ดังนั้นพลังงานในบ้านจึงมาจากแผ่น solar cells และเครื่องปั่นไฟล้วนๆ เราจะดีใจกันมากที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าวันนั้นแดดออกเปรี้ยงๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะเก็บไฟไว้ใช้ได้อีกหลายวัน ถ้าวันไหนแดดแรงหน่อย พวกเราก็จะได้ดูทีวีจนดึกกว่าวันอื่นๆที่ท้องฟ้าปิด

แต่ด้วยความที่มันธรรมชาติสุดๆนี่เอง พวกเรามักจะมีเพื่อนบ้านที่ไม่ได้รับเชิญอยู่หลายครั้ง... ผมเองเป็นคนที่กลัวงูแบบสุดขั้ว มีวันหนึ่งกลับบ้าน mum เปิดถังให้ดูและพบว่ามีงูดำตัวเท่าแขนผมยาวเฟื้อยนอนตายอยู่ในนั้นโดยที่หัวมันระเบิดไปแล้ว มารู้ทีหลังว่า Mark ได้ยินหมาเห่าจึงดูจากหน้าต่างแล้วเห็นมีงูอยู่ Mark จึงไปหยิบปืนมาเล็งยิง ปรากฏว่านัดเดียวอยู่เลย... หรือจะอีกครั้งก็คือมีอยู่คืนหนึ่ง ผมกำลังนอนหลับอยู่ จู่ๆก็มีเสียงดังลั่นที่กำแพงฝั่งที่ผมนอนอยู่ ผมตกใจตื่นดูหน้าต่าง เห็นเงาตะครุ่มๆกระโดดๆไป มารู้ตัวก็ตอนที่ dad ออกมาดูแล้วก็บอกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆว่า มันคือจิงโจ้นั่นเอง นานๆครั้งก็จะมีจิงโจ้ออกมากระโดดเล่นแล้วด้วยความมืด มันคงไม่เห็นกำแพงบ้าน เลยอัดเข้าไปดังโครมขนาดนั้น ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จิงโจ้ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม เหมือนการเห็นหมาในบ้านเราล่ะครับ เพราะมันเยอะใช้ได้ทีเดียว สักพักๆมันก็จะออกมากระโดดแข่งกับรถระหว่างที่เราขับออกไปถนนใหญ่ เห็นมันกระโดดๆแล้วก็รู้สึกประหลาดดีเหมือนกัน ถ้าคุยกันรู้เรื่อง ผมคงจะถามพวกมันว่า "เหนื่อยมั้ย?"

การที่บ้านอยู่บนเขาขนาดนั้นทำให้พวกผมได้ฝึกการเดินแบบ intensive course เลยทีเดียว... ผมและเด็กๆต้องเดินวันละ 7 กิโลเมตรเพื่อไปและกลับจากโรงเรียน อ้อ... ยังครับ เดิน 7 กิโลเพื่อไปและกลับจากรถโรงเรียนอีกทีครับ การเดินไม่ใช่การเดินถนนลาดยางที่มีต้นไม้ปกคลุมร่มรื่นซะด้วย พวกเราเดินกันทั้งบนดิน ทราย หินและถ้าช่วงไหนฝนตกก็ต้องบวกโคลนไปด้วย... 12 เดือนที่อยู่บ้านนั้น ทำให้ผมได้ฝึกความอดทนและฝึกร่างกายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วงแรกๆผมเหนื่อยและอยากจะย้าย host มาก แต่พอผ่านไปสักพัก ผมพบว่าผมมีความอดทนมากขึ้น สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจตลอดเวลาระหว่างที่เดินก็คือ "เดี๋ยวมันก็ผ่านไป" "อีกแป๊บก็ถึง" และ "หยุดตรงนี้แล้วมึงจะถึงบ้านได้ไง" พอเรากลั้นใจเดินไป เดี๋ยวมันก็ถึงจริงๆ ตั้งแต่นั้นมา ผมพบว่าผมเป็นคนใจเย็นมากขึ้น ผมยอมที่จะรอเพื่ออะไรๆได้โดยที่ไม่หงุดหงิดโวยวาย และตั้งแต่นั้นมา หลายๆคนที่รู้จักผมก็มักจะทักว่าผมเป็นคนใจเย็น ทั้งๆที่ตอนเด็กผมเอาแต่ใจและอารมณ์ร้อนสิ้นดี

ความสนุกอีกอย่างก็คือการที่เราใช้วันหยุดเดินลงไปพายเรือเล่นที่ลำน้ำข้างล่าง ถ้าคุณเคยดูหนังฝรั่งที่มีธรรมชาติสวยๆ มีเขาล้อมรอบ น้ำใสๆเย็นๆเห็นตัวปลา ว่ายวนไปมาน่าเอ็นดู มีฝรั่งชายหญิงพายเรือเล่นกัน หน้าตายิ้มแย้ม นั่นละครับ! อารมณ์นั้นเลย ผมกับเด็กๆมักจะลงไปเล่นน้ำ พาย canoe และก็อาศัย sausage ของใครที่ตามที่พาเราลงไปเพื่อประทังชีวิต มันเป็นความสงบ ร่มรื่นที่แสนสบายใจจริงๆ รู้เลยว่าทำไมทาร์ซานชอบอยู่ป่า เพราะอากาศมันเย็นสบาย สดชื่นดีจริงๆ

เป็นไงครับ เรื่องแรก..? ถ้ายังไม่เบื่อไปซะก่อน รออ่านเรื่องต่อไปเร็วๆนี้ครับ

Saturday, August 16, 2008

Sydney and me (Part I)

ผมเองมีความ"อยาก"ตั้งแต่เด็กที่จะต้องไปอยู่เมืองนอกให้ได้ แม้จะไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจ แต่ผมรู้ตัวดีว่า"เข็มทิศชีวิต"ของผมจะต้องพาผมไปจนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จนกระทั่งผมขึ้นม.ปลาย โอกาสนั้นก็มาถึงจนได้

ผมสอบ AFS 2 ปีติดต่อกัน ปีแรกผมสอบผ่านข้อเขียนแล้ว แต่ผมเปลี่ยนใจไม่ไปสัมภาษณ์ซะงั้น เหตุผลหนึ่งคือประเทศที่เลือกไปได้ไม่น่าสนใจ อีกเหตุผลคือผมเกิดกลัวการไปอยู่คนเดียวขึ้นมากระทันหัน และเหตุผลสุดท้ายคือติดเพื่อนและแฟน... แต่หลังจากที่เห็นเพื่อนไปกันแล้ว จึงมาสำนึกว่า ไม่น่าปล่อยให้ความฝันนั้นหลุดมือไปเลย ทั้งๆที่ตั้งใจดิบดีแล้วแท้ๆ จากตอนนั้นเองผมเลยตั้งความหวังไว้ว่าปีต่อมาผมจะต้องสอบอีกและคราวนี้ยังไงก็ต้องไปให้ได้

หนึ่งปีหลังจากนั้นผมทุ่มเทเต็มที่ โชคดีที่ผมเองมีพื้นภาษาที่ค่อนข้างโอเค แม้จะไม่ได้เลิศเลอ แต่ก็พอเอาตัวรอดได้สบายๆ ผมท่องศัพท์เองทุกวันวันละ 20 คำแบบสะสมไปเรื่อยๆ หมายถึงว่า วันนี้ท่องได้ 20 พรุ่งนี้เอาอีก 20 แต่ของเก่าต้องได้ด้วย จนผมรู้ตัวอีกที ผมซัดไปน่าจะเกือบๆพันคำภายในเวลาไม่นาน ในขณะเดียวกันผมต้องเตรียมตัวโดยการไปเรียนรำดาบเพื่อสอบสัมภาษณ์ด้วย ผลลัพธ์ก็คุ้มค่ากับความตั้งใจจริงๆ ผมได้ที่หนึ่งของคนที่เลือกประเทศออสเตรเลีย และแน่นอนครับ ไม่นานหลังจากนั้น ผมก็ต้องจากบ้านเกิดไปอยู่ต่างถิ่น ดินแดนแห่งจิงโจ้ แผ่นดินที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล

ทุกคนที่ไปจะได้อาศัยกับ host ที่เป็นอาสาสมัครซึ่งคนเหล่านี้รับนักศึกษามาอยู่ด้วยและดูแลเหมือนคนในครอบครัว ผมเองจะแตกต่างกับคนอื่นหน่อย ตรงที่ผมได้ host วันก่อนบินเพียงวันเดียว... พ่อแม่ ญาติๆลุ้นยังกะผมจะไปแข่งโอลิมปิค ผมเองลุ้นยังกะจะไปต่างดาว พอๆกันเลยบ้านนี้ แถมที่แตกต่างอีกข้อก็คือ ครอบครัวนี้เป็นชาว Irish ครับ... สำหรับผมแล้ว ยังกะได้ไปต่าวดาว 2 ดวงในการบินเที่ยวเดียว คุ้มจริงๆ

ครอบครัวนี้น่ารักมากๆครับ Dad กับ Mum เป็นชาว Irish ที่โตใน Ireland เลย ดังนั้นภาษาจะมีสำเนียงของชาว Irish ขนานแท้ ในขณะที่ลูกๆมาโตที่นี่ รวมทั้งบางคนก็เกิดที่นี่ เลยมีสำเนียง Aussie แบบเต็มตัว... บ้านนี้มีลูก 4 คนครับ Mark, Michelle, Karren และ Greg เป็นเด็ก 4 คนที่อายุไล่เลี่ยกับผมหมด ดังนั้นผมจึงไม่มีปัญหาในการเข้ากับลูกๆเลย จะมีบ้างก็ที่ Mark ชอบทำตัวอวดเก่ง เป็นพี่คนโต จนหลายๆครั้งผมก็พูดใส่หน้ามันเป็นภาษาไทยเลยว่า "เออ มึงเก่ง... อย่ามาเมืองไทยละกัน" หรือบางครั้ง Michelle ก็ชอบทำตัวเป็นสาวเปรี้ยว จนผมแอบเขินไม่ได้ อย่างเช่นวันแรกที่ผมตื่นมา ผมออกมานั่งกินกาแฟ Michelle เดินออกมาโดยมีแค่บราและกางเกงในตัวจิ๋ว...โอ้ ต่างแดนนี่มันมีดีอย่างนี้นี่เอง ผมคิดในใจ...

ตลอดหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่ มีเหตุการณ์และเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ผมกล้าพูดได้เลยว่า ถ้าคุณผู้อ่านรู้ว่าผมผ่านอะไรมาบ้างคงต้องแอบทึ่งผมบ้างไม่มากก็น้อย แต่เอาเป็นว่าขอเป็น blog หน้าละกันนะครับ วันนี้ขอเกริ่นๆแค่นี้ก่อน

ราตรีสวัสดิ์ครับ


ตอนไปปีนเขากับ AFS
Chyu, Sono, Satoko



วิชาที่ผมชอบเรียนที่สุด... Drama



ตอนไปเที่ยว Safari 17 วันครึ่งประเทศ



กลางทะเลทรายที่อยู่ตรงกลางของประเทศพอดี

Thursday, August 14, 2008

Lingkoon

สังเกตุ blog ของตัวเองแล้วเห็นว่ามันหนักเหมือนกันแฮะ ช่วงหลังๆนี่ เลยกะว่าจะมาเขียนเรื่องเบาๆบ้าง ไหนๆวันนี้ก็มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งค่อนข้างเยอะ เลยเอามันนี่แหละเป็นเหยื่อ ฮ่าๆๆ เพื่อนคนนี้ชื่อหลิงครับ

หลิงเป็นเด็กน้อยเพศหญิงนำเข้ามาจากมาเลย์เซียที่บังเอิญพูดไทยได้ดี หมายถึงว่าคำไหนที่พูดก็พูดได้ชัดสื่อความหมายถูก แต่คำไหนที่พูดไม่ได้ หลิงก็จะพูดเป็นภาษาอังกฤษไปเลย ดูอินเตอร์ดีนะครับ ผมรู้จักกับหลิงตอนที่ผมทำงานที่ MovieSeer หลิงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมสนิท และเราก็สนิทกันเร็วมากเพราะอย่างแรกคือหลิงเป็นคนสนุกสนาน หัวเราะได้ทั้งวัน ตอนแรกๆผมคิดว่าเค้าเพี้ยนๆ แต่หลังๆผมค้นพบว่า เออ ผมเองก็เพี้ยนระดับหนึ่ง เราเลยเข้ากันได้ดี ไม่รู้ว่าน่าดีใจมั้ย...

ผมเองทำงานที่ MovieSeer ได้แค่ช่วงสั้นๆ แล้วบังเอิญโชคชะตาก็พาระหกระเหินไปสู่บ้านใหม่อย่าง True Move แต่สถานะจากเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้ทำให้เราเลิกติดต่อกัน ผมเปลี่ยนหลิงจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งไปแทน จนเมื่อกี๊ ผมบอกหลิงว่าผมจะเขียน blog เกี่ยวกับมันนะ หลิงบอกว่า เออแปลกใจเหมือนกัน เพราะไม่เคยคิดว่าผมมองหลิงเป็นเพื่อนสนิท นึกว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้นเอง ผมก็ได้แต่ตอบหลิงไปว่า ช้าไปละ ถึงจังหวะนี้จะเลิกเป็นเพื่อนสนิทกันก็คงไม่ทันละ ซวยละมึง...

สาเหตุหลักอันนึงที่ทำให้เราสนิทกันมากช่วงนี้คงเป็นเพราะเราผ่านอะไรมาคล้ายๆกันนิดหน่อย ช่วงที่ผมตกต่ำมากหลิงนี่แหละที่ผมคุยด้วยเยอะที่สุด และทุกครั้งที่คุยก็จะรู้สึกดีขึ้นได้ท้นที หลิงให้มุมมองของคนที่ผ่านมาก่อน แม้หลิงเองจะอยู่ในสถานะของอีกฝั่ง คือการเป็นคนบอกเลิกกับแฟน แต่มันทำให้ผมเข้าใจถึงสาเหตุของสถานการณ์ที่คนบอกเลิกก็ต้องเจอ ผมเข้าใจเลยว่า จริงๆมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันสำหรับเด็กอินเตอร์ที่จะมารับคนกึ่งไทย กึ่งจีน และมีเศษเสี้ยวของความคิดนอกคอกแบบผมได้ แล้วพอคุยเรื่องหนักๆกันไปสักแป๊บมันก็จะลงเอยด้วยการเล่นตลกคาเฟ่ผ่าน MSN ไปทันที แล้วอารมณ์ที่กำลังย่ำแย่ของผมก็จะกลายเป็นอารมณ์ร่าเริงหายโศกไปในบัดดล

ผมว่านี่ล่ะมั้งที่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมยกระดับความเป็นเพื่อนร่วมงานของหลิงให้กลายเป็นเพื่อนสนิท เหตุผลง่ายๆเลยครับ หลิงช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลาแย่ๆไปได้ในเวลาที่ผมต้องการคุยกับใครสักคน ในขณะเดียวกัน วันที่หลิงมีอาการแย่ๆ หลิงก็โทรมาร้องไห้กับผมเหมือนกัน (Sorry I have to mention about you crying, but it helps with the explanation.) คุณผู้อ่านลองนึกถึงการที่มีใครสักคนเวลาที่คุณล้มคอยช่วยพยุงคุณให้เดินต่อไปได้ เค้าสำคัญกับคุณมั้ยครับ...

หลิงเคยตั้งฉายาให้กับผมว่า ผมเป็น Piggy ในเรื่อง Chicken Little อ้อ คือตอนนั้นผมยังอ้วนกว่าตอนนี้เยอะอ่ะครับ ผมยังนึกไม่ออกจนถึงวันนี้ว่าจะตั้งฉายาอะไรให้หลิงดี เอาเป็นว่า แกก็เป็นหลิงคุนต่อไปละกัน

I'll see you next week dude.

ปล. เอารูปมาให้ดูครับ หลิงคุนกับแฟน เป็นคู่ที่น่ารักดีนะครับ