Sunday, September 26, 2010

ในเกาหลีใต้ "จอ"คือ"เงิน"

ผมเองเคยเป็นคนหนึ่งที่สงสัยว่าบริษัทยักษ์ใหญ่บนโลกออนไลน์อย่าง Google ที่เป็นผู้ให้บริการ search engine ที่ทรงพลังและมีคนใช้เยอะทีสุดในโลกนั้นจริงๆแล้วเป้าหมายของบริษัทคืออะไรกันแน่ เพราะบริการใหม่ๆบางอย่างมันก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับการค้นหาสักเท่าไหร่ จนมีคนหนึ่งบอกผมว่า เป้าหมายระยะยาวของ Google ก็คือการเข้าถึงทุก"จอ"บนโลก ผมถึงได้เข้าใจว่าทำไม Google ถึงพัฒนาแต่ละบริการที่เราเห็นๆกันอยู่ทุกวันนี้

"จอ" ที่ผมพูดถึงไม่ใช่แค่จอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือ laptop แต่รวมไปถึง จอโทรศัพท์มือถือ จออุปกรณ์พกพาต่างๆ จอโทรศัพท์ หรือแม้แต่จอในรถยนต์ ตราบใดที่จอเหล่านี้สามารถต่อกับโลกอินเทอร์เน็ตได้มันจะกลายเป็น"ช่องทาง"ที่มีมูลค่าขึ้นมาทันที จากจุดนี้เองเลยทำให้ผมอยากเขียน blog เพื่อเล่าความสำคัญของ"จอ"ในอีกแง่มุมที่หลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบ

ในธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ตในประเทศที่ก้าวหน้าอย่างเกาหลีใต้ หน้าจอ PC มีความสำคัญมากๆ หากคุณได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศบ้านเกิดแดจังกึมแห่งนี้ อยากให้ลองเข้าไปเยี่ยมร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือที่เรียกกันว่า PC Bang สักแห่งแล้วจะเห็นภาพชัดขึ้นครับ หน้าจอ PC ทุกหน้าจอมีการโฆษณาโดย brand ต่างๆอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นหน้า screen saver, หน้า log in, แถบด้านล่าง, wallpaper เหล่านี้ต่างกลายเป็นช่องทางโฆษณาที่ทำเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ถ้าย้อนอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นก็คือ ธุรกิจร้านเน็ตคาเฟ่ในประเทศนี้ถือว่าเป็นระบบมากๆ นั่นหมายถึงว่าการจัดการบริหารร้านจะมีการใช้ซอฟต์แวร์สำหรับบริหารร้านโดยเฉพาะ ซึ่งซอฟท์แวร์เหล่านี้ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทมืออาชีพเพื่อเน้นตอบสนองการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบคิดเงินในร้าน ระบบสมาชิก ระบบจำหน่ายสินค้า หรือแม้แต่การเติมเงินเข้ากับบริการออนไลน์ต่างๆ โดยซอฟท์แวร์เหล่านี้จะติดตั้งที่เครื่องของเจ้าของร้าน และสามารถที่จะควบคุมเครื่องลูกในร้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากตรงนี้นี่เองจึงเกิดการพัฒนาต่อยอดมาอีกระดับ นั่นก็คือการเชื่อมต่อเครื่องของเจ้าของร้านเข้ากับเซิร์ฟเวอร์กลางของบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์นี้อีกต่อหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือความสามารถในการเก็บ"สถิติ" (เน้นนะครับว่าสถิติ ไม่ใช่ข้อมูลส่วนตัว) ที่เกิดจากการใช้งานในร้านที่ติดตั้งซอฟท์แวร์เหล่านี้ นอกจากนั้นบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เหล่านี้ยังสามารถที่จะสั่งให้เครื่องต่างๆสามารถเปลี่ยน screen saver, waller, banner ฯลฯ ได้ตามต้องการอีกด้วย

ลองนึกดูเล่นๆนะครับ เอาประเทศไทยเราเป็นตัวอย่าง ประเทศเรามีร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ประมาณ 20,000 กว่าร้าน ถ้าร้านหนึ่งมีเครื่องประมาณ 15 เครื่อง เราจะได้จำนวน"จอ"ถึง 300,000 จอที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เป็น Netizen อย่างมีประสิทธิภาพทันที ถ้าเราสามารถทำการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ brand หรือ product ของเราผ่านช่องทางหน้าจอนี้ได้ เราก็จะสามารถเข้าถึงกลุ่มคนยุคใหม่ได้อย่างง่ายดายและด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างคุ้มค่าทีเดียวครับ

สิ่งที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ก็คือ ช่องทาง PC Bang กลายเป็นช่องทางที่บริษัทต่างๆให้ความสนใจอย่างมากและหันมากันงบเพื่อใช้กับช่องทางนี้ บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์บริหารจัดการร้านเหล่านี้สามารถสร้างรายได้จากการขายพื้นที่บน"จอ"ทั่วประเทศได้เป็นเงินถึงหลักพันล้านบาท นั่นยังไม่นับถึงรายได้ที่ได้จากการขาย"สถิติ"ที่เก็บได้อีกด้วย ซึ่งสถิติที่ผมว่านี้ก็คือข้อมูลเช่น ผู้ใช้ชอบเข้าเว็บไหนมากที่สุด มีสัดส่วนเป็น % เท่าไหร่, เกมไหนมีการเล่นมากที่สุด, สเปคคอมพิวเตอร์ในร้าน PC Bang โดยเฉลี่ยเป็นอย่างไร เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความแม่นยำแม้จะไม่ 100% แต่ผมก็กล้าพูดได้ว่ามันแม่นกว่าการทำการวิจัยตลาด หรือการลงพื้นที่โดยทีมงานใดๆแน่ๆเพราะมันเก็บจากตัวเครื่องโดยตรง นั่นหมายถึงว่าการวางแผนการเข้าถึงลูกค้าที่เป็น Netizen จะมีความแม่นยำ และที่สำคัญคือ ข้อมูลเหล่านี้มันสามารถแยกเป็นเขตได้ด้วย ดังนั้นผู้ใช้ข้อมูลจะสามารถเห็นได้ถึงขนาดที่ว่าเขตใดมีพฤติกรรมบนโลกอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นักการตลาดหรือนักขายต้องการตลอดมา ดังนั้นการขายสถิติเหล่านี้จึงสามารถสร้างรายได้ให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์นี้ได้อย่างสวยงามอีกส่วนหนึ่งด้วย

ทีนี้หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าแล้วร้านเน็ตทำไมถึงจะต้องให้บริษัทเหล่านี้มาเอาข้อมูลจากร้านตัวเองไปใช้สร้างรายได้เฉยๆ นั่นเป็นเพราะว่าร้านเน็ตเหล่านี้ก็ได้ผลประโยชน์เช่นกันครับ บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์เหล่านี้เข้าใจดีว่าร้านเน็ตเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้ตนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ดังนั้นรูปแบบของการแบ่งรายได้จากโฆษณา, การทำกิจกรรมแจกของต่างๆจึงเป็นสิ่งกระตุ้นให้ร้านเน็ตอยากติดตั้งโปรแกรมในร้านของตน ตัวอย่างเช่น หากร้าน A ติดตั้งโปรแกรมในร้าน บริษัทจะดูการใช้งานและอาจจะแจกคูปองแลกจอคอมพิวเตอร์ใหม่ในราคาพิเศษมากๆ ซึ่งนั่นคือการลดต้นทุนของร้านอย่างชัดเจน หรือหากมีการใช้โปรแกรมอย่างต่อเนื่องถึงปริมาณที่กำหนดอาจจะได้เงินสดกันเลยทีเดียว ซึ่งกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ทำให้เกิด ecosystem ที่ได้ผลประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน

และนี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยน"จอ"ให้เป็น"เงินนะครับ ส่วนบ้านเราก็มีความพยายามที่จะนำ model นี้มาใช้เหมือนกัน และผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในทีมที่ดูแลเรื่องนี้ แต่ปัจจัยบ้านเรามีหลายอย่างมากๆที่ทำให้มันไม่เกิด ไว้คราวหน้าผมจะมาเล่าให้อ่านนะครับ

Saturday, September 25, 2010

ลาวกับอินเทอร์เน็ต

เมื่อปลายปีที่แล้วผมโชคดีที่มีโอกาสได้เดินทางไปสำรวจตลาดที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรา นั่นก็คือประเทศลาวครับ โดยจุดมุ่งหมายก็คือการไปดูว่าสภาพตลาดมีความพร้อมและมีความต้องการเพียงพอสำหรับธุรกิจออนไลน์หรือเปล่า การเดินทาง 3 วัน 2 คืนของผมเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างดีและได้เห็นอะไรที่น่าสนใจหลายๆอย่างครับ

ผมเดินทางช่วงสิ้นเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีกีฬาซีเกมส์เพียงไม่นานนัก เป้าหมายหลักคือการไปดู Infrastructure ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอินเทอร์เน็ต ช่องทางการจัดจำหน่าย ช่องทางประชาสัมพันธ์ ระบบการชำระเงิน หรือแม้แต่ระบบขนส่ง นอกจากนั้นเราต้องทำการสำรวจตามร้านอินเทอร์เน็ตเพื่อดูว่าลักษณะ lifestyle ของวัยรุ่นที่โน่นเป็นอย่างไรบ้าง วันแรกที่ผมและหัวหน้าไปถึงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาว เราก็เริ่มตระเวณทันที สิ่งแรกที่เราค้นพบก็คือ เมืองหลวงของประเทศมีขนาดเล็กมาก สภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับต่างจังหวัดของไทย ไม่มีตึกสูงๆ ไม่มีระบบการคมนาคมที่ซับซ้อน และการดำเนินชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย ถ้าจะใช้เวลาตระเวณให้ทั่วจริงๆจากการประเมินด้วยสายตาครั้งแรกที่เห็นก็คาดว่าใช้ไม่เกิน 2 วันน่าจะทั่วเมือง

เราเริ่มภารกิจจากการไปเยี่ยมร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ทันที จากการพูดคุยกับเจ้าของร้านจึงได้รู้ว่าค่าบริการอินเทอร์เน็ตในลาวแพงมาก ในขณะที่ทุกวันนี้ชาวไทยสามารถเล่นเน็ตที่ความเร็ว 6 Mbps ในราคาเพียงห้าร้อยกว่าบาท หรือหลักพันต้นๆสำหรับร้านเน็ต สิ่งที่ร้านเน็ตในลาวต้องเผชิญคือราคาร่วมหมื่นบาทสำหรับความเร็ว 1 Mbps โดยเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ร้านเก็บจากลูกค้าแล้วพบว่าไม่ได้แตกต่างจากบ้านเรามากนัก คำถามจึงเกิดขึ้นในหัวผมทันทีว่า แล้วเขาจะคุ้มทุนกันยังไง?

เมื่อเราได้ทยอยเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งได้พบว่าร้านต่างๆเหล่านี้มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ผู้ให้บริการหลักในเวียงจันทน์มี 3 เจ้าได้แก่ Lao Telecom ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Shin Corporation จากบ้านเรานี่เอง โดยมีรัฐบาลลาวถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง (ได้รู้ในภายหลังว่ารัฐบาลถือหุ้นครึ่งหนึ่งในทุก operator) เจ้าที่สองก็คือ ETL และเจ้าที่สามเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งถูกต่างชาติเข้ามาถือหุ้นคือ Tigo ซึ่งแต่ละเจ้าก็จะมีสไตล์การทำการตลาดและรูปแบบราคาที่แตกต่างกัน

หลังจากที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ประเด็นที่เราสนใจต่อก็คือตลาดเกมในลาว ซึ่งก็ได้พบว่ารัฐบาลลาวมีนโยบายในการควบคุมการให้บริการเกมในร้านเน็ตที่ค่อนข้างรัดกุมกว่าบ้านเรา และถึงแม้จะยังไม่มีการบังคับกฎหมายใดๆอย่างเคร่งครัด แต่ร้านต่างๆก็ได้ข้อมูลค่อนข้างตรงกันว่ารัฐบาลไม่สนับสนุนและอาจจะถึงกับห้ามให้มีการเปิดให้บริการเกมในร้านโดยสิ้นเชิงเพื่อป้องกันปัญหาเด็กไม่สนใจเรียนและปัญหาสังคมอื่นๆที่อาจจะตามมา แต่ก็มีข้อยืดหยุ่นคือ ในแต่ละเมืองอาจจะอนุโลมให้มีการจัดตั้งศูนย์เกมได้ 2-3 แห่ง แต่ต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลก่อนและจะไม่สามารถมีมากกว่านี้ได้

เมื่อเริ่มเห็นทิศทางและแนวโน้มในฝั่งของตลาดแล้ว เราก็เริ่มขยับไปที่การพูดคุยกับผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่ได้เราพบระดับผู้บริหารของทั้ง 3 บริษัท ข้อมูลที่เราได้ก็น่าสนใจ เพราะพบว่าจำนวนผู้ใช้บริการเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วอยู่ในหลักแสนเท่านั้น ซึ่งนั่นรวมทั้งมือถือและอินเทอร์เน็ต! อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการกลับได้ก้าวข้ามประเทศเราไปสู่ 3G และ Wi-Max เรียบร้อยแล้ว ผมมีโอกาสได้ทดลอง Wi-Max โดยใช้ notebook ที่ผมพกติดตัวไปและต้องทึ่งเมื่อสามารถดาวน์โหลดไฟล์ขนาดร่วม 10 MB เสร็จโดยยังไม่ทันนับเวลา ผมได้สอบถามถึงจำนวนผู้ใช้และก็ได้คำตอบที่ไม่น่าแปลกใจนั่นก็คือหลักร้อยคน แต่รายต่างๆก็มองว่ามันเป็นบริการที่มีอนาคตและสิ่งที่จะมาช่วยขับเคลื่อนให้เติบโตได้ก็คือ content นั่นเอง

ผมได้สอบถามต่อว่าการตั้งราคาที่สูงขนาดนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำตลาดหรือ และก็ได้คำตอบว่าสาเหตุที่ราคาสูงก็เพราะต้นทุนการเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ หรือ international bandwidth ที่ต้องจ่ายให้กับหน่วยงานหนึ่งที่เรารู้จักกันดี นั่นก็คือ CAT ของบ้านเรานั่นเอง โดยทั้ง 3 เจ้าจะต้องวิ่งออกผ่าน CAT ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ทำให้ operator ไม่สามารถลดราคาให้กับลูกค้าได้มากนัก แต่หากร้านใดจะใช้เพียง domestic bandwidth เพียงอย่างเดียว ราคาก็อาจจะลดได้มากกว่า 50% ทีเดียว สิ่งที่ operator พยายามหาทางออกก็เลยเป็นการเปลี่ยนไปวิ่งผ่านจีนซึ่งยังไม่เต็มรูปแบบ แต่ผมเชื่อว่าหากมีทางเลือกมากขึ้น ราคาก็น่าจะลดลงได้อย่างแน่นอน

เมื่อขยับมาถึงส่วนของการประชาสัมพันธ์ เราพบว่าสื่อโทรทัศน์และเว็บไซต์ของลาวเองไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นลาวนัก เพราะวัยรุ่นมักจะดูรายการจากช่องของไทยและเข้าไปอ่านเว็บต่างๆของไทยเช่นกัน ยิ่งเป็นนิตยสารต่างๆแล้วยิ่งเข้าไม่ถึง สื่อที่น่าจะมีประสิทธิภาพที่สุดจึงกลายเป็น SMS ไปโดยปริยาย

เมื่อเราได้ข้อมูลต่างๆเหล่านี้แล้วเราจึงเริ่มเห็นทิศทางชัดเจนมากขึ้น การจะเข้าไปทำธุรกิจออนไลน์ในลาวมีปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยหลักๆได้แก่ ข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, การประชาสัมพันธ์ และขนาดของตลาดที่ค่อนข้างเล็ก นอกจากนั้นโครงสร้างภาษีก็แตกต่างจากบ้านเราและโดยรวมแล้วบริษัทต่างๆจะต้องเสียภาษีค่อนข้างเยอะพอสมควร ดังนั้นแผนการขยายธุรกิจจึงกลายเป็นโจทย์ให้ต้องกลับมานั่งคิดกันใหม่หมด

ผมไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ แต่หวังว่าสิ่งที่ผมเล่ามาน่าจะช่วยให้หลายๆท่านได้เห็นภาพของเพื่อนบ้านเราได้ชัดขึ้นบ้างนะครับ หากใครมีข้อมูลหรือคำแนะนำก็แบ่งปันกันบ้างนะครับ :)

Sunday, September 19, 2010

งานเปิดตัว Garmin-Asus A10

หลังจากที่ได้เอา Garmin-Asus A10 มาเล่นได้สัปดาห์กว่าๆ ก็ถึงเวลาไปร่วมงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Android น้องใหม่ตัวนี้ซะที ต้องขอชมว่าทีมงานทำได้ดี โดยเฉพาะเรื่องสถานที่ที่ร้าน Boqueria ที่ตึก All Seasons ที่เคยเป็นร้าน Pomodoro มาก่อน เนื่องจากผมชอบอาหารและบรรยากาศร้านนี้เป็นการส่วนตัวครับ ฮ่าๆ :P

ในงานวันเสาร์ที่ผ่านมาถือว่ามีคนให้ความสนใจเยอะพอสมควร เรียกว่าเต็มร้านแบบพอดีๆ เอาเท่าที่ประมาณด้วยตัวเองผมว่าน่าจะเกิน 120 คนครับ ซึ่งประกอบไปด้วย blogger, สื่อ และผู้ที่สนใจทั่วไป โดยในงานมีทีมงานมาแนะนำตัว A10 อย่างครบถ้วนทุกมุม รวมถึงมีผู้บริหารหญิงจากไต้หวันมาร่วมด้วย ที่เหลือก็เป็นแขกที่ได้รับเชิญให้ร่วมแนะนำแอพพลิเคชั่นและการใช้งานครับ

นอกจากจะมีคนให้ความสนใจเยอะแล้วยังได้ยินมาว่ายอดจองถึงกับทำให้ทีมงานยิ้มไม่หุบเพราะเกินเป้า แต่เสียดายที่การจัดเตรียมของมีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อยทำให้ไม่สามารถให้เครื่องได้ทันที คนที่สั่งจึงต้องรอ 3-4 วัน ครับ

Photobucket
ภาพบรรยากาศก่อนเริ่มงาน

Photobucket
พื้นที่ในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ

Photobucket
อาหารร้านนี้อร่อยมากกกก!

Photobucket
ตัวอย่างเครื่องที่ตั้งแสดงในบริเวณงาน

Photobucket
อาหาร อาหาร อาหาร...

Photobucket
ผู้บริหารหญิงที่บินมาร่วมงาน

Photobucket
ผมขึ้นพูดแนะนำ Tips ในการใช้ Android (ขโมยรูปมาจาก @kafaak :P)

Photobucket
ในงานมีโปรโมชั่นลดราคาสำหรับผู้ที่มาร่วมงาน

Saturday, September 11, 2010

Garmin-Asus A10 ... เมื่อผู้นำระบบนำทางมาเจอหุ่นกระป๋องล้ำยุค

หลังจากที่ได้ลองเล่น Garmin-Asus M10E ก่อนหน้านี้ได้ไม่นานและรู้สึกว่ามันก็เป็นโทรศัพท์รุ่นที่ค่อนข้างโอเค มาอาทิตย์นี้ผมได้มีโอกาสใช้งานรุ่นถัดมาอย่างจริงจังด้วยตัวเองซะที รุ่นที่ว่าก็คือ Garmin-Asus A10 โทรศัพท์ผสานระบบนำทางที่ออกมาได้ค่อนข้างลงตัว

Photobucket
Garmin-Asus A10 ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.1

ครั้งแรกที่ได้สัมผัสรู้สึกได้ทันทีถึงวัสดุที่ค่อนข้างดีและขนาดกำลังพอดีมือ แต่บอกตรงๆครับว่าผมไม่ได้ดูสเปคมันมาก่อน ผมเลยรีบค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเครื่องและก็ได้รายละเอียดหลักๆมาดังนี้
  • 2G Network: GSM 850/900/1800/1900, 3G Network: HSDPA
  • DISPLAY: TFT capacitive touchscreen, 320 x 480 pixels, 3.2 inches
  • MEMORY: microSD, up to 16GB
  • CAMERA: 5 MP, 2592х1944 pixels, autofocus, Geo-tagging
  • Android OS
  • Java via third party application
  • Location-based applications
  • BATTERY: Standard battery, Li-Ion 1500 mAh (สำหรับผมแล้วข้อนี้คือ highlight เลยครับ)
แล้วผมก็รีบเอา SIM จากเครื่องที่ใช้อยู่มาทดลองทันที โดยไม่พลาดเก็บภาพตัวเครื่องไว้ก่อนด้วย

Photobucket
Photobucket

เมื่อใส่ซิมเสร็จเรียบร้อยก็เปิดเครื่องมาเห็นเจ้าตัวเขียวพร้อมโลโก้ของผู้ผลิตทันที
Photobucket

เมื่อบู๊ตเครื่องเสร็จแล้วก็เข้ามาสู้หน้า lock screen ของ Android ที่ดูสดสว่างใช้ได้ทีเดียว
Photobucket

พอลองถือดูก็จะเห็นว่าขนาดมันกำลังพอดีมือของผมจริงๆ

Photobucket

ตัวเครื่อง Garmin-Asus A10 มีปุ่มเปิดปิดเครื่องอยู่ด้านซ้ายบนและปุ่มปรับเสียงอยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง นอกจากนั้นก็จะเป็นปุ่มแบบสัมผัส 3 ปุ่มคือ Back อยู่ซ้ายสุด Home อยู่ตรงกลางและ Menu อยู่ด้านขวา ซึ่งการตอบรับก็รวดเร็วดี จากนั้นเมื่อผม unlock แล้วก็จะเข้าสู่หน้าหลักของตัวเครื่อง ซึ่ง User Interface นี้มีชื่อว่า Breeze UI จะมีหน้าแรกเน้นไปที่ระบบนำทางให้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

Photobucket

เมื่อลองเลื่อนหน้าจอไปทางด้านขวาก็จะพบไอคอนของแอพพลิเคชั่นต่างๆตามแบบฉบับของ Android ที่เราคุ้นเคย

Photobucket
Photobucket

ซึ่งหากต้องการเรียกดูหน้าทั้งหมดก็สามารถกดที่ปุ่ม Home มันก็จะแสดงผลเป็นหน้ารวมหน้าย่อย นอกจากนั้นยังสามารถเพิ่มหน้าได้อีกหากต้องการ

Photobucket

แต่สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนหน้าตาของตัวเครื่องก็สามารถเลือกใช้ Classic UI ได้ หน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ครับ

Photobucket

ซึ่งเมนูทั้งหมดจะย้ายไปอยู่ด้านขวา หากต้องการเรียกใช้งานก็สามารถเรียกแถบออกมาได้โดยการเลื่อนแถบไปทางซ้ายมือ เราก็จะเห็นไอคอนทั้งหมดและสามารถเลื่อนขึ้นลงเพื่อดูได้

Photobucket

คราวนี้เราลองมาดูในส่วนของการใช้งานหลักๆกันบ้างนะครับ เริ่มจากส่วนสำคัญของโทรศัพท์ นั่นก็คือการโทร...

Photobucket

จะเห็นว่าแถบหมายเลขค่อนข้างใหญ่และกดได้สะดวกมาก นอกจากนั้นแถบด้านบนจะแบ่งเป็นหมายเลขที่ติดต่อล่าสุด, รายชื่อทั้งหมด และหมายเลขกลุ่มที่ตั้งไว้สำหรับติดต่อบ่อยๆอีกด้วย

Photobucket

มาดูในส่วนของกล้องบ้างครับ การถ่ายภาพก็ทำได้ง่ายดี และสามารถปรับแต่งโหมดการถ่าย การปรับเอฟเฟคต์ และขนาดของภาพได้ตามที่ต้องการ

Photobucket
ภาพระหว่างที่ถ่าย

Photobucket
ภาพที่ได้จากการถ่ายโดยไม่ตั้งค่าใดๆ

ซึ่งเท่าที่ลองถ่ายรูปดูผมก็ค่อนข้างโอเคกับคุณภาพของภาพที่ได้ และชัตเตอร์ก็ค่อนข้างเร็วแม้จะไม่ทันทีก็ตาม และในส่วนของการเล่นวิดีโอก็ใช้งานได้ดี ผมลองกับไฟล์ที่มากับเครื่องก็จะเห็นว่าลื่นและชัดเจนดี

Photobucket

สำหรับ browser เองหน้าตาแปลกไปเล็กน้อยจากตัวที่มากับ Android แต่ในการใช้งานบน A10 ก็ถือว่าใช้งานได้ปกติ สามารถแสดงผลได้ครบถ้วนและไม่มีปัญหาใดๆกับภาษาไทย ยกเว้นแต่การกดให้ตรงกับลิงค์ที่เป็นภาษาไทยซึ่งเป็นปัญหามาตรฐานของโทรศัพท์ Android ทุกรุ่นอยู่แล้ว

Photobucket
Photobucket
Photobucket

ส่วนของ Gallery ก็มาตรฐานและช่วยให้การแชร์รูปทำได้อย่างง่ายดายผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอีเมลล์, Facebook, Twitter ก็ทำได้ทันที

Photobucket
Photobucket

ที่น่าสนใจก็คือส่วนของการส่งข้อความที่สามารถส่งพิกัดที่เราอยู่ให้ผู้รับได้ด้วย แต่เท่าที่ผมลองมันไม่ส่งไปยังรุ่นอื่น ผมเดาว่ามันคงจะส่งไปหาเครื่องที่เป็น Garmin ด้วยกันครับ ส่วนข้อความอื่นๆนั้นก็ทำงานได้ปกติดีครับ

Photobucket

ที่เรียกว่าโดดเด่นก็คือส่วนของ Settings หรือการตั้งค่า ซึ่งจากที่ผมลองเรียกได้ว่ามันมีส่วนให้ตั้งค่าเยอะมาก! เราสามารถตั้งค่าของการใช้งานได้ละเอียดมาก ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่มากับตัว Android อยู่แล้วที่แม้จะถูกจัดวางจำแหน่งใหม่แต่ก็ยังครบถ้วน และส่วนที่มากับระบบของ Garmin ก็หลากหลายมาก

Photobucket
Photobucket

ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่เป็นจุดแข็งของ Garmin-Asus A10 นั่นก็คือระบบนำทางจาก Garmin ซึ่งเราสามารถใช้งานได้จากหน้าหลักของเครื่องเลย โดยเริ่มจากการป้อนสถานที่ที่ต้องการจะไป

Photobucket

จากนั้นตัวโปรแกรมก็จะทำการค้นหาและแสดงผลตัวเลือกทั้งหมด

Photobucket

เมื่อเจอจุดหมายปลายทางที่ต้องการแล้วก็สามารถคลิกดูตำแหน่งบนแผนที่ได้ ซึ่งที่ผมชอบก็คือการที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะโทรติดต่อสถานที่นั้นๆหรือเลือกให้ตัวโปรแกรมนำทาง

Photobucket

ถ้าเลือกที่การโทรตัวโปรแกรมก็จะโทรติดต่อให้ทันที

Photobucket

หรือถ้าต้องการให้นำทาง ตัวโปรแกรมจะถามว่าเป็นโหมดการขับรถหรือการเดิน

Photobucket

จากนั้นก็จะแสดงแผนที่และเริ่มนำทางทันที

Photobucket

ซึ่งผมก็สามารถที่จะดูระหว่างที่อยู่บนรถได้ตลอดทางทั้งในรูปแบบการนำทาง และรูปแบบแผนที่ทั่วไป

Photobucket
Photobucket

แต่จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกอย่างของ A10 ก็คือความสามารถในการจับภาพหน้าจอได้ ทำให้เราสามารถจับภาพเพื่อส่งให้กับเพื่อนได้อีกด้วย

Photobucket
Photobucket

นอกจากการนำทางแล้ว Garmin-Asus A10 ยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆอีกหลายอย่าง เรียกว่าครบสูตรของ Garmin เลยจริงๆ ซึ่งผมได้ลองเล่นโดยค้นหาสถานที่ที่น่าสนใจต่างๆก็ได้ข้อมูลที่หลากหลายและน่าประทับใจมาก

Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket

หลังจากที่ลองเล่นมาได้ไม่กี่วันผมก็รู้สึกว่า Garmin-Asus A10 เป็น Android อีกรุ่นที่น่าสนใจ ทั้งวัสดุของตัวเครื่องที่ค่อนข้างดี หน้าจอสัมผัสที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและไม่หน่วง สีที่ค่อนข้างสดและสว่าง และแบตเตอรี่ที่ทำให้สามารถใช้งานได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกลัวแบตฯหมดระหว่างวัน หากจะมีจุดที่ผมยังไม่คุ้นก็คือการที่ตัวเครื่องไม่มี trackball หรือ trackpad แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้มาตั้งแต่แรกอาจจะไม่รู้สึกอะไรก็ได้ครับ นอกจากนั้น เนื่องจากว่า OS ของเครื่องที่ผมลองยังไม่ใช่ตัวที่จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ดังนั้นผมยังพบปัญหาในการพิมพ์เล็กน้อย แต่เชื่อว่าเมื่อถึงเวอร์ชั่นที่วางขายอย่างเป็นทางการปัญหานี้คงหมดไป

ผมขอให้คะแนน Garmin-Asus A10 ที่ 8/10 และน่าจะได้ 8.5/10 ได้ง่ายๆหากราคาขายไม่เกิน 14,000 บาทเพราะจะถือว่าการใช้งานคุ้มกับราคามากครับ

Sunday, August 29, 2010

Where are you going ,Garmin Asus M10E?

เมื่อวานมีโอกาสได้ไปร่วมงานแนะนำมือถือรุ่นใหม่จาก Garmin + Asus ที่บ้านไร่กาแฟเอกมัย ตอนแรกที่ได้ยินก็คิดว่าตัวโทรศัพท์คงไม่มีอะไรมาก น่าจะเน้นที่ระบบนำทาง, คุยได้, มีฟีเจอร์พื้นฐานทั่วไปเท่านั้น แต่พอได้ไปเห็นก็พบว่าตัวโทรศัพท์เองถูกออกแบบมาให้เป็นมากกว่านั้น และนั่นก็คือจุดที่น่าสนใจครับ

Garmin Asus M10E เป็นโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Mobile 6.5 และผลิตโดย 2 เจ้าที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ก็คือ Garmin ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบนำทาง และ Asus ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่พวกเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว สัมผัสแรกเรียกว่าเกินความคาดหมายผมพอสมควรเนื่องจากผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ประทับใจกับ Windows Mobile เลย เนื่องจากความช้า หน้าตาที่ไม่สวยงามและการที่เครื่องค้างบ่อยๆ แต่ M10E ถือว่าทำให้หน้าตาน่าดู ความเร็วโอเคแม้จะไม่ถึงระดับ iPhone หรือ Android และมันมาพร้อมกับแอพพลิเคชั่นที่ค่อนข้างจะเยอะจนลืมไปชั่วคราวว่ากำลังจับโทรศัพท์ที่ชูจุดขายเรื่องระบบนำทางอยู่

ตัวเครื่องขนาดพอดีมือ หน้าจอใหญ่ชัดเจน สีโอเค แต่อาจจะเป็นเพราะผมไม่คุ้นเคยกับ Windows Mobile ผมเลยรู้สึกงงๆในการใช้งานว่าต้องกดอะไรบ้าง ถ้าเป็น website ผมคงจะเรียกว่าออกแบบ sitemap แปลกๆนิดหน่อย แต่ประเด็นของผมไม่ได้อยู่ที่เรื่องตัวเครื่อง แต่อยู่ที่จุดประสงค์ของโทรศัพท์ตัวนี้มากกว่ครับ

Garmin Asus M10E ถ้าจะว่าไปแล้วตัวชื่อมัน geek ขั้นสูงทีเดียว Garmin ก็ระบบนำทางจ๋า Asus ก็เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างจะ geek และชื่อรุ่น M10E ที่ยังกระด้าง ซึ่งสวนทางกับอุปกรณ์ยุคใหม่ๆที่มีชื่อที่จำง่ายและเอาผู้บริโภคเป็นที่ตั้งมากขึ้น ดังนั้นด้วย 3 ชื่อรวมกันมันจึงกลายเป็นภาพของอุปกรณ์ที่ค่อนข้างจะเจาะกลุ่มเฉพาะพอสมควร แต่หลังจากที่ได้ฟังและเห็นตัวอย่างโฆษณากลับพบว่าเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ต้องการจะเจาะกลุ่ม mass เพราะตัวโฆษณาเป็นผู้หญิงวัยรุ่นใช้งาน social networks ซึ่งเรียกว่าขัดกับความรู้สึกพอสมควรเพราะระหว่างการ present นั้นส่วนใหญ่เพ่งไปที่เรื่องระบบนำทางซะเกือบทั้งหมด แต่พอเข้าไปดูที่เมนูของตัวเครื่องพบว่ามีแอพฯทั่วไปเต็มไปหมด ไม่ว่าจะ Facebook, Twitter, Foursquare, แช็ต คือถ้าจะเอามาเติมเต็มให้คุ้มผมว่าอันนั้นปกติ เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่การสื่อสารกับผู้บริโภคอาจจะต้อง in line มากกว่านี้ และอาจจะต้องมาดูว่าจริงๆแล้วกลุ่มเป้าหมายของ M10E เป็นใครกันแน่ เพราะส่วนตัวแล้วผมไม่แน่ใจว่าถ้าผมจะซื้อ smart phone ผมจะอยากได้ navigation system เป็นตัวนำหรือเปล่า หรือถ้าผมเป็นคนที่ต้องใช้ navigation system เป็นประจำถึงขนาดที่ต้องซื้อตัวนี้ ผมเองจะให้ความสำคัญกับ social networks ซักแค่ไหน ซึ่งมันก็กลับมาที่จุดเดิมคือจริงๆตัว M10E ถูกออกแบบมาเพื่อจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มไหนกันแน่

ผมคงจะไม่วิจารณ์มากเพราะจริงๆมันก็เป็นโทรศัพท์ที่คุณภาพโอเคตัวหนึ่งเลยทีเดียว แต่ผมแค่อยากเห็นทิศทางที่ชัดเจนของการตลาดมากกว่า ไม่งั้นโทรศัพท์นำทางตัวนี้อาจจะหลงทางซะเองก็ได้ครับ

Monday, August 23, 2010

Once in a lifetime

ไหนๆบล็อกก่อนหน้านี้ก็เล่าเรื่องตอนไปแลกเปลี่ยนที่ Australia เลยขอเล่าต่อ แต่คราวนี้จะเล่าในอีกมุม เป็นมุมของการทำอะไรแปลกๆที่ไม่เคยทำมาก่อนตอนอยู่เมืองไทยครับ แต่เนื่องจากมันมีหลายอย่างมาก ผมขอเลือกมาเล่าแค่ 9 อย่างละกันครับ :)
  1. สิ่งแรกที่ทำเลยก็คือการเลือกวิชาเรียน ผมใฝ่ฝันมานานแล้วว่าอยากเรียนอะไรที่ไม่มีโอกาสได้เรียนที่เมืองไทยบ้าง พอวันแรกที่ไปถึงโรงเรียนผมมองหาอะไรที่แปลกที่สุดก่อน แล้วผมก็เจอมันเข้าให้... วิชา Drama ครับ ใช่ วิชาการแสดง! นี่แหละ สิ่งที่อยากลอง บุคลิกทื่อๆแบบเรานี่แหละน่าจะตรงข้ามกับ Drama แบบพอดีๆ จะได้ฉีกความเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ และแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ มันเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคุ้นเคยอย่างสุดๆจริงๆ จากที่ทุกอย่างคือกฎ สมการ สูตร วันนี้มันคืออารมณ์ ความลื่นไหล ความสมจริง ผมเข้าเรียนและได้อยู่ในทีมที่จะต้องเล่นละครกรีกเรื่อง Oedipus Rex ผมต้องเรียนรู้เยอะกว่าชาวบ้านเพราะไหนจะภาษา ไหนจะพื้นความรู้เกี่ยวกับนิยายกรีก ไหนจะทักษะการวางท่าทางที่ไม่มีเลย ใครจะไปคิดว่าการออกแบบตัวละครที่เราจะเล่นมันต้องดูกันละเอียดขนาดนั้น ผมต้องเรียนรู้ว่าถ้าเราจะแสดงเป็นตัวอะไร มันต้องดูกระทั่งท่าเดิน มุมการเงยหน้า การแกว่งแขน ความเร็วในการพูด ฯลฯ เพราะพวกนี้มันคือการสื่อสารด้วยท่าทางทั้งหมดและมันคือส่วนที่จะทำให้ตัวละครดูสมจริง การเข้าเรียน Drama ทำให้ความแข็งทื่อของผมลดลงระดับหนึ่งเลยทีเดียว (ผมคิดเอาเองนะ) และมันก็จับพลัดจับผลูจริงๆ ทีมที่ผมอยู่สามารถเข้าไปแข่งขัน Greek Play ของรัฐ New South Wales และได้ที่ 4 ของรัฐมาซะงั้น :D
  2. การเดิน... ฟังดูไม่น่ามีอะไรแปลก แต่มันแตกต่างจากตอนอยู่เมืองไทยก็ตรงที่ผมต้องเดินไป-กลับทุกวันวันละ 7 กม.นี่แหละครับ อย่างที่เขียนไปคราวก่อนว่าบ้านอยู่ลึกมากกกก ดังนั้นผมและเด็กๆในบ้านต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งทุกวันเพื่อออกเดินจากบ้านไปขึ้นรถโรงเรียน ซึ่งระยะทางที่เดินก็ 3.5 กม.ถ้วนครับ และแน่นอนว่าตอนกลับจากโรงเรียนก็ต้องเดินระยะทางเท่ากัน สรุปเป็น 7 กม... ตามทันนะครับ :D และการเดินระยะทางขนาดนี้เอง มันเป็นการฝึกความใจเย็นและความอดทนของผมซึ่งผมรู้สึกว่ามันมีประโยชน์ต่อชีวิตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนั้นเวลาที่ต้องเดินเยอะๆผมไม่รู้สึกว่ามันจะลำบากอะไรมากมาย แถมมันก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีซะด้วย
  3. ระหว่างที่ไปเรียนที่นั่น ผมกลายเป็นเด็กที่เก่งคณิตศาสตร์ที่สุดในห้องไปโดยปริยาย ทั้งๆที่ตอนอยู่เมืองไทยไม่เคยติด Top 10 เลย เวลาสอบที่โน่นเต็ม 100 เป็นว่าเล่น นั่นเป็นเพราะว่าหลักสูตรบ้านเราโหดกว่าเยอะเลยครับ ทั้งเรียนที่โรงเรียน ทั้งเรียนพิเศษ ไหนจะการบ้านอีก ใครมาเจอการเรียนแบบบ้านเราแล้วไปเจอแบบที่ผมเจอก็ top ได้ทั้งนั้นแหละครับ และด้วยความที่ได้คะแนนโดดเด่นขนาดนั้น มันก็เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกส่งไปแข่งขันคณิตศาสตร์ และผลลัพธ์ก็ออกมาเท่ห์อีกแล้ว ได้คะแนน Top 2% ของรัฐ คราวนี้ผู้อำนวยการโรงเรียนเรียกให้ไปโชว์ตัวต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนเลย วันนั้นรู้สึกตัวเองหล่อมาก :D ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนเยอะยังนึกอยู่เลยว่า "เอาวะ เก็บเกี่ยวความภูมิใจให้เต็มที่ กลับไปก็ไม่มีแล้วโอกาสแบบนี้" T.T
  4. แต่งตัวประมาณพวก cosplay ในวัน Halloween... ปกติผมไม่ชอบหรอกครับ แต่งตัวโน่นนี่ จะบ้ารึไง แต่ไหนๆก็อยู่ต่างแดนแล้ว บ้าให้เต็มที่ วันนั้นเลยรวมกับเพื่อนกลุ่มที่สนิทแต่งตัวเป็น The Addams Family ซะเลย โดยผมแต่งเป็น Gomez แล้วพวกเราก็ทำตัวบ้ากันให้เต็มที่ตลอดทั้งวัน ถึงตอนนี้จำไม่ได้แล้วด้วยว่าวันนั้นได้เรียนอะไรไปบ้างหรือเปล่า ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการศึกษาเหลืออยู่เลย แต่ความไม่ธรรมดาก็มาเยือนอีกเมื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมาขอถ่ายรูปกลุ่มเราลงหนังสือพิมพ์ เสียดายที่ผมทำมันหายไปแล้ว แต่จำได้ว่าวันนั้น family ผมซื้อมาอย่างน้อยๆก็ 5 ฉบับได้ ขี้เห่อเหมือนกันนะเนี่ย...
  5. Surf and drown... มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทั้ง family ไปเที่ยวต่างเมือง ไปอยู่บ้านพักติดหาดที่สวยมากๆ ผมจำได้ว่าเป็นทางที่จะตรงไป Canberra แต่จำชื่อเมืองไม่ได้แล้ว บ้านพักค่อนข้างเป็นส่วนตัวและคลื่นค่อนข้างแรง ต่อมอยากลองผมก็ทำงานอีกครั้ง ผมอยากลองเล่น surf ดูทั้งๆที่ว่ายน้ำก็ไม่เป็น (น่าอายจริงๆ) ผมก็เลยเริ่มจากอะไรง่ายๆ เป็นบอร์ดสำหรับนอนแล้วให้งอขาขึ้น พอคลื่นมาคลื่นมันก็จะดันขาเราให้เคลื่อนไปตามกระแสน้ำ โอ้โห ขอบอกว่ามันมากๆครับ! นี่ขนาดเว่าเป็นการ surf แบบเด็กอ่อนหัดมันยังสนุกขนาดนี้ ถ้าของจริงมันคงต้องเจ๋งมากๆแน่ๆ พอสักพักผมก็เริ่มเหนื่อย เลยคิดว่าจะไปเล่นน้ำเฉยๆก็พอ แต่แล้วความไม่ธรรมดาก็มาหาอีก ผมโดนสิ่งที่เรียกว่า Riptide จัดการ มันคือกรณีที่คลื่นลูกใหม่พัดเข้ามาและพยายามดันเราเข้าฝั่ง แต่ในขณะเดียวกันคลื่นลูกเก่าก้พยายามลากเราลอยลงไปในทะเล พอ 2 ลูกมาเจอกัน มันผลักให้หัวผมทิ่มไปข้างหน้าและดึงขาผมให้ถอยกลับไปในทะเล ผมจมทันที ไม่ว่าจะพยายามถีบตัวเข้าฝั่งเท่าไหร่มันก็เหมือนจะไม่ไปไหนเลย จนน้องคนหนึ่งเห็นต้องรีบวิ่งมาช่วย แต่ความซวยบังเกิด มันดันมาจมเป็นเพื่อนผม! เราทั้งถีบทั้งเหวี่ยงแขนกระจัดกระจายกว่าที่จะหลุดออกมาได้ จำได้ว่านอนนิ่งๆเพื่อสงบสติอารมณ์ไม่น่าจะต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงครับ
  6. Bikini party... หึๆ อยากอ่านเรื่องนี้กันล่ะสิ ไม่เล่าครับ :P ถึงจะไม่เท่า Baywatch แต่มันก็โอเคเลยล่ะ ฮ่าๆ
  7. Bungee Jumping อันนี้เป็นความสนุก ความประทับใจ ความสะใจ ความตื่นเต้นที่ปนกันอย่างแยกไม่ค่อยออก การโดดบันจี้เป็นความสุดโต่งหนึ่งที่อยากทำมานานแล้ว เห็นในทีวีก็รู้สึกว่ามันบ้าดี พอมาเล่นจริงๆ เออ... บ้าจริงๆด้วย หลายๆคนที่ไม่เคยเล่นคงคิดว่าความน่ากลัวคือการโดดให้ตัวเองร่วงลงมา แต่จริงๆแล้วเปล่าเลยครับ อันนั้นมันแค่จุดเริ่มต้น ความน่ากลัวจริงๆคือตอนที่มันดีดกลับครับ คือทุกคนจะเตรียมใจสำหรับการร่วง แต่น้อยคนที่จะเตรียมใจเผื่อสำหรับตอนที่เราดีดกลับ ไม่ค่อยมีใครคิดว่ามันจะรู้สึกยังไงที่เห็นโลกทั้งใบค่อยๆห่างจากเราออกไป ผมจำได้แม่นว่าสัญชาติญาณสั่งให้ความพยายามคว้าอะไรไว้สักอย่าง มันเลยเหมือนคนบ้าที่พยายามจะคว้าน้ำทะเลข้างล่างไว้ไม่ให้ห่างออกไป สมเพชตัวเองจริงๆ ฮ่าๆ
  8. นอนในหลุมกลางทะเลทราย... อันนี้เล่าไปในบล็อกก่อนหน้านี้ รบกวนไปอ่านอันนั้นนะครับ :)
  9. ปีนหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าใครเคยเห็นรูปประเทศออสเตรเลียจะเห็นว่ามีรูปภูเขาลูกหนึ่งอยู่เสมอ มันเรียกว่า Ayer's Rock หรือ Uluru ในภาษาชาว Aborigines ครับ นั่นแหละครับที่พวกผมไปปีนกันมา เราปีน Uluru ไปจนถึงยอดที่ลมแรงมากๆ เราสามารถปลิวหลุดออกจากเขาลูกนี้ได้ทุกขณะ แต่ความเสี่ยงและความตื่นเต้นนี่เองมันทำให้เราสนุกและหยุดไม่ได้จนกว่าจะถึงยอด และมันก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจจริงๆที่เราไปถึงยอดของมันได้
และนี่ก็คือความสนุกที่แปลกใหม่ 9 อย่างของผม มันยังมีอีกมากมายเลยที่ทำให้ 1 ปีนั้นเป็นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งในชีวิต แต่หลายๆอย่างคงไม่สามารถออกอากาศได้ ใครอยากรู้มาถามได้นะครับถ้ามีโอกาสได้เจอกันครั้งหน้า แล้วคุณมีความทรงจำอะไรที่แปลกๆแต่น่าจดจำบ้าง มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ :)

Saturday, August 21, 2010

Life on the hill

ในปี 2540 ก่อนที่ใครจะรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนประเทศเราไปอย่างมากมาย ผมเองในตอนนั้นยังอยู่ม.5 เป็นเด็กต่างจังหวัดที่กำลังเตรียมตัวบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาประสบการณ์ใหม่ภายใต้โครงการที่ฟังดูดีที่คนทั่วไปรู้จักว่า "โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS" โดยผมเลือกปลายทางไว้ที่นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศที่คนทั้งโลกเรียกว่า Down Under ประเทศที่มีสัตว์น่ารักๆอย่างจิงโจ้ วอมแบต และแทสเมเนี่ยนเดวิล...

ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับการยืนยันเรื่อง host family ช้ามาก ทั้งบ้านผมร้อนใจมากเมื่อถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อนเดินทาง ทุกคนเป็นห่วงว่าผมจะไปอยู่ยังไงเป็นปีโดยที่ไม่มีครอบครัวที่โน่นรับไปเลี้ยงดู ผมเองกลับไม่ได้ห่วงเรื่องนี้เลย รู้แต่ว่าตื่นเต้น อยากออกไปดูโลกใหม่ อยากไปเจอฝรั่ง อยากไปฝึกภาษา อยากไปใช้ชีวิตอิสระด้วยตัวเอง อยากโน่นอยากนี่ ไม่รู้หรอกว่ามันลำบากมากยังไงถ้าไม่มีใครรับไปเลี้ยง จนกระทั่งวันก่อนบิน ผมถึงได้ซองจากเจ้าหน้าที่ AFS บอกว่าผมได้ครอบครัวแล้ว ได้แบบนาทีสุดท้าย เป็นชาว Irish ที่ย้ายมาตั้งรกรากที่ออสเตรเลีย 13 ปีก่อน สำหรับผมแล้ว ณ จุดนั้นอะไรก็ตื่นเต้นหมด ต่อให้เป็นชาวดาวนาเม็กผมก็คงไม่เกี่ยงแล้วล่ะ :D

และแล้วผมก็ได้ขึ้นเครื่องข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ดินแดนใหม่ที่รอคอยเสียที มันตื่นเต้นมากๆ เป็นครั้งแรกที่ไปต่างประเทศด้วยตัวเองและไม่มีครอบครัวไปด้วย ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ดีเลิศเลออะไร ถึงจะเคยติดท็อปตอนสอบภาษาอังกฤษบ้าง แต่อย่างที่ทุกคนรู้ เด็กไทยเก่ง grammar แต่สนทนาจริงบัดซบ (ถ้าแรงไปขอโทษนะครับ) คราวนี้เอาแล้วเว้ย พก grammar มาลุยกับเจ้าของภาษาซะที ยังไงเกมนี้ก็ต้องชนะ หนีกลับบ้านก่อนไม่ได้อยู่แล้ว

วันแรกที่ได้เจอหน้า host family ผมออกแนวมึนเล็กน้อย คือทุกอย่างมันดูใหม่และแปลกไปหมด อยู่ๆผมต้องเรียกใครไม่รู้ว่า dad แล้วไหนจะน้องอีก 4 คน เจอ dad ครั้งแรกตื่นเต้นใช้ได้ shake hand เสร็จแล้วยื่นมือไป shake hand ใหม่ บ้าชัดๆ ฮ่าๆๆ แล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่บ้านใหม่ บ้านที่จะต้องอยู่อีก 1 ปีเต็ม แล้วผมก็นั่งเบียดกับน้องๆผ่านทิวทัศน์บ้านช่องที่ดูดี อากาศกำลังดี ดูไปเรื่อยๆ พอออกนอกเมืองไปสักพักก็เริ่มเห็นต้นไม้มากขึ้น บ้านเรือนเริ่มน้อยลง แล้วต้นไม้ก็มากขึ้น แล้วบ้านเรือนก็น้อยลง แล้วต้นไม้ก็มากขึ้น แล้วบ้านเรือนก็หายไป... นี่กูกำลังจะไปไหนเนี่ย??

ผมจำไม่ได้ว่านั่งในความเงียบในรถคันเล็กๆนั้นนานเท่าไหร่ แต่ที่ผมรู้ มันเหมือนกับนั่งข้ามศตวรรษกันเลยทีเดียว ยังนั่งสงสัยกับตัวเองว่า แล้วถ้าจะออกไปไหนทีผมต้องทำยังไงเนี่ย เอ๊ะ หรือข้างในนี้มีเมืองอยู่ ยังแอบลุ้นแบบลมๆแล้งๆ จนในที่สุดรถก็มาจอดที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านชั้นเดียวแบบฝรั่งที่เคยเห็นในหนัง มันอยู่บนยอดเนินเตี้ยๆแบบโดดเด่นมาก เป็นบ้านที่ทุกอย่างที่อยู่รอบๆมีอย่างเดียวคือ...ป่า!! ผมลงจากรถแล้วก็ได้สูดอากาศที่แสนดีเข้าไปเต็มๆ ผมหันดูรอบทิศ ใจนึงแอบกลัว อีกใจผมตกหลุมรักกับสถานที่นี้ทันที ผมอยู่บนยอดเขาที่มีบ้านเพียงหลังเดียว มองลงไปข้างล่างไกลๆมีคลองเล็กๆอยู่ มันคือธรรมชาติที่เหมือนในนิยายเลยแฮะ... แล้วความเป็นวิทยาศาสตร์ของผมก็กลับมาอีกครั้ง... ไหนล่ะ เสาไฟฟ้า? ไหน? ทางไหน? มันไม่มีเสาไฟฟ้า!! ชิบหายละ

หลังจากนั้นสักครู่ผมก็ได้รับการแนะนำตัวกับคนในครอบครัวอย่างเป็นทางการ เป็นครอบครัวที่น่ารักดี ผมรู้ตัวว่าผมจะเข้ากับครอบครัวนี้ได้สบายๆ แต่สิ่งที่ผมยังทำใจไม่ได้ก็คือ ตอนที่นั่งคุยกันนั้นเป็นเวลาค่ำๆแล้ว มีไฟเปิดอยู่แค่นิดหน่อย ผมก็สงสัย เลยถามว่าเรื่องไฟฟ้านี่ยังไง ผมถึงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงจริงๆ และไม่พอ น้ำประปาก็เข้าไม่ถึงด้วย ดังนั้นทุกอย่างที่ใช้อยู่จึงเป็นไฟจากแบตเตอรี่และน้ำฝน! อืมมม ผมคงต้องปรับตัวครั้งใหญ่จริงๆ เรื่องไฟไม่เท่าไหร่แต่เรื่องน้ำนี่ผมเดือดร้อน ผมชอบอาบน้ำ ปกติก็คือบางทีอาบเสร็จแล้วแต่ก็ยังชอบให้น้ำไหลผ่านตัวไปเรื่อยๆ มันสบายดี คราวนี้มีน้ำจำกัดจะทำยังไง ถ้าไม่ได้อาบน้ำจะอยู่ยังไง เฮือกก..

ในอาทิตย์แรกผมก็ได้เรียนรู้ทันทีว่า ไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านนั้นมีที่มาอยู่ 2 แหล่ง นั่นก็คือจากแผง solar cell ที่ตั้งอยู่ข้างๆบ้าน ตัวแผงถูกวางเรียงกันและต่อสายไฟเข้ากับตู้แบตเตอรี่ข้างๆ ถ้าวันไหนแดดดี เราก็จะเห็นของเหลวในแบตเดือดปุดๆ แล้วนั่นก็หมายความว่าเราสามารถที่จะดูทีวีถึง 5 ทุ่มได้ แต่ถ้าวันไหนฟ้าปิด แดดน้อย เราก็อาจจะต้องเข้านอนกันตั้งแต่ 3 ทุ่ม มันคือวงจรการใช้ชีวิตที่ขึ้นอยู่กับพระอาทิตย์จริงๆ แต่ก็ไม่แย่เกินไปนัก เพราะเรายังมีแหล่งพลังงานที่ 2 อยู่ นั่นก็คือเครื่องปั่นไฟ ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงเครื่องยนต์ที่พอเติมน้ำมัน ดึงสายแรงๆทีนึงเครื่องก็จะติด นั่นล่ะครับ พลังงานที่ได้ก็จะต่อเข้าไปที่ระบบไฟฟ้าในบ้านเหมือนกัน แต่วิธีนี้มันต้องใช้น้ำมัน ซึ่งมีราคา เสียงดัง และมีควันเสีย เราจึงจะใช้เครื่องปั่นไฟเมื่อตอนที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เช่น ซักผ้า หรือวันที่แบตฯอ่อนแต่ต้องใช้ไมโครเวฟ เป็นต้น

ผมค้นพบว่า จริงๆแล้วมนุษย์เรามีความสามารถในการปรับตัวได้สูงกว่าที่เราคิด หลังจากผ่านไปแค่สองสามอาทิตย์ ผมก็เริ่มคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบนี้ ผมสามารถที่จะเข้านอนสามทุ่มได้ ซึ่งจริงๆแล้วต้องบอกว่ามันมีความสุขด้วย อย่างแรก พอไฟดับหมดแล้ว เราจะได้ยินเสียงลม เห็นต้นไม้ลางๆผ่านหน้าต่าง เห็นดาว หรือถ้าวันไหนฟลุ้คๆ ผมก็จะเห็นจิงโจ้กระโดดไปมาในลานหน้าบ้านด้วย นี่มันคือธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว หลายๆครั้งผมมีโอกาสได้นั่งดูต้นไม้ไหว ดูดาว แล้วก็นั่งปล่อยความคิดมันไหลไปเรื่อยๆ หลายครั้งผมคิดถึงครอบครัวจนแทบจะร้องไห้ แต่ผมก็รู้ว่านี่แหละ เป็นการมาฝึกตัวเองที่มีค่ามากเกินกว่าจะมานั่งร้องไห้หาพ่อแม่ ผมไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว ผมจะไม่ยอมแพ้จนกว่าผมจะบรรลุสิ่งที่ผมต้องการ และสิ่งแรกที่ผมต้องบรรลุก็คือ การอยู่ที่นี่ให้รอดให้ได้

หลังจากที่ผมเริ่มปรับตัวกับเรื่องไฟฟ้าได้ ผมก็พบว่าผมเริ่มปรับตัวกับการใช้น้ำได้เหมือนกัน ที่บ้านนี้มีแทงค์น้ำขนาดใหญ่อยู่ข้างๆตัวบ้าน พวกเรามีหน้าที่ในการตรวจดูระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะมีน้ำสำหรับดื่มและอาบได้อีกแค่ไหน ผมเองไม่เคยรู้สึกต้องการให้มีฝนตกมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ผมเองเป็นคนไม่ชอบฤดูฝน ไม่ชอบให้เสื้อผ้าเปียก ไม่ชอบการติดแหงกออกไปไหนไม่ได้ แต่การมาอยู่ที่นี่ทำให้ผมมีความสุขได้เวลาที่ฝนมาเยือน เพราะนั่นหมายถึงว่าเราสามารถที่จะอาบน้ำได้อย่างเต็มที่ถ้าหากว่าฝนยังตกอยู่ มันคือความสุขเล็กๆแต่มีความหมาย

หลังจากผ่านไปได้ราวๆครึ่งปีผมลองหันมามองดูความเปลี่ยนแปลงของตัวเองแล้วก็พบว่าพฤติกรรมของผมได้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว ผมไม่เปิดไฟฟุ่มเฟือย ผมอาบน้ำเร็วขึ้นเยอะ และเวลาที่ผมไปไหนก็ตามผมจะเปิดก๊อกเท่าที่จะเป็นจริงๆ มีหลายครั้งที่ไปบ้านเพื่อนแล้วพบว่าตัวเองไล่ปิดไฟในห้องที่ไม่มีใครอยู่ มีครั้งหนึ่งเจ้าของบ้านเดิมมาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ฮ่าๆๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมทำในสิ่งที่ควรทำ และผมภูมิใจที่ได้นิสัยใหม่นี้มา

จนกระทั่งกลับมาเมืองไทยที่บ้านก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่าผมมีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าและน้ำเปลี่ยนไป ผมเองพยายามจะรณรงค์ให้เพื่อนๆทำบ้าง แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่า บางอย่างถ้าเราไม่ไปเจอสถานการณ์ด้วยตัวเอง จะพูดยังไงใครก็ไม่เห็นคุณค่าของมันหรอก และผมก็ยอมรับตรงๆว่าเมื่อเวลาผ่านไป 13 ปี แม้จิตสำนึกผมจะยังอยู่ แต่ความกระตือรือล้นผมน้อยลงไปเยอะ ทุกวันนี้ผมเปิดแอร์นอนตอนกลางคืน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมยังอยากจะแก้ ผมไม่ยอมถอดปลั๊กทีวีแต่ปิดจากรีโมทแทน เรื่องนี้ผมก็จะแก้ และการมานั่งเขียนบล็อกนี้มันทำให้ผมรู้สึกมีความกระตือรือล้นนั้นกลับมาอีกครั้ง

ผมคงจะยังไม่ขอให้คนที่เข้ามาอ่านให้หันมาร่วมมือกับผมในการรณรงค์ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ตัวผมเองยังทำได้ไม่ดีพอเลย แต่ถ้าบังเอิญว่าสิ่งที่ผมเขียนมันจะช่วยให้คุณรู้สึกอะไรบ้าง ผมคงจะดีใจมากๆ ผมอยากบอกว่าโลกเรามันจะตายแล้วจริงๆนะครับ ตอนนี้มันโคม่าแล้ว คนที่จะแก้ได้มีแค่ 2 คน ก็คือคุณกับผม ผมสัญญาว่าผมจะเริ่มจริงจังกับการดูแลอะไรที่ผมทำได้ให้เหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง ถ้าคุณจะมาร่วมด้วย มันก็คงจะดีไม่น้อยนะครับ :)