Monday, August 23, 2010

Once in a lifetime

ไหนๆบล็อกก่อนหน้านี้ก็เล่าเรื่องตอนไปแลกเปลี่ยนที่ Australia เลยขอเล่าต่อ แต่คราวนี้จะเล่าในอีกมุม เป็นมุมของการทำอะไรแปลกๆที่ไม่เคยทำมาก่อนตอนอยู่เมืองไทยครับ แต่เนื่องจากมันมีหลายอย่างมาก ผมขอเลือกมาเล่าแค่ 9 อย่างละกันครับ :)
  1. สิ่งแรกที่ทำเลยก็คือการเลือกวิชาเรียน ผมใฝ่ฝันมานานแล้วว่าอยากเรียนอะไรที่ไม่มีโอกาสได้เรียนที่เมืองไทยบ้าง พอวันแรกที่ไปถึงโรงเรียนผมมองหาอะไรที่แปลกที่สุดก่อน แล้วผมก็เจอมันเข้าให้... วิชา Drama ครับ ใช่ วิชาการแสดง! นี่แหละ สิ่งที่อยากลอง บุคลิกทื่อๆแบบเรานี่แหละน่าจะตรงข้ามกับ Drama แบบพอดีๆ จะได้ฉีกความเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ และแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ มันเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคุ้นเคยอย่างสุดๆจริงๆ จากที่ทุกอย่างคือกฎ สมการ สูตร วันนี้มันคืออารมณ์ ความลื่นไหล ความสมจริง ผมเข้าเรียนและได้อยู่ในทีมที่จะต้องเล่นละครกรีกเรื่อง Oedipus Rex ผมต้องเรียนรู้เยอะกว่าชาวบ้านเพราะไหนจะภาษา ไหนจะพื้นความรู้เกี่ยวกับนิยายกรีก ไหนจะทักษะการวางท่าทางที่ไม่มีเลย ใครจะไปคิดว่าการออกแบบตัวละครที่เราจะเล่นมันต้องดูกันละเอียดขนาดนั้น ผมต้องเรียนรู้ว่าถ้าเราจะแสดงเป็นตัวอะไร มันต้องดูกระทั่งท่าเดิน มุมการเงยหน้า การแกว่งแขน ความเร็วในการพูด ฯลฯ เพราะพวกนี้มันคือการสื่อสารด้วยท่าทางทั้งหมดและมันคือส่วนที่จะทำให้ตัวละครดูสมจริง การเข้าเรียน Drama ทำให้ความแข็งทื่อของผมลดลงระดับหนึ่งเลยทีเดียว (ผมคิดเอาเองนะ) และมันก็จับพลัดจับผลูจริงๆ ทีมที่ผมอยู่สามารถเข้าไปแข่งขัน Greek Play ของรัฐ New South Wales และได้ที่ 4 ของรัฐมาซะงั้น :D
  2. การเดิน... ฟังดูไม่น่ามีอะไรแปลก แต่มันแตกต่างจากตอนอยู่เมืองไทยก็ตรงที่ผมต้องเดินไป-กลับทุกวันวันละ 7 กม.นี่แหละครับ อย่างที่เขียนไปคราวก่อนว่าบ้านอยู่ลึกมากกกก ดังนั้นผมและเด็กๆในบ้านต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งทุกวันเพื่อออกเดินจากบ้านไปขึ้นรถโรงเรียน ซึ่งระยะทางที่เดินก็ 3.5 กม.ถ้วนครับ และแน่นอนว่าตอนกลับจากโรงเรียนก็ต้องเดินระยะทางเท่ากัน สรุปเป็น 7 กม... ตามทันนะครับ :D และการเดินระยะทางขนาดนี้เอง มันเป็นการฝึกความใจเย็นและความอดทนของผมซึ่งผมรู้สึกว่ามันมีประโยชน์ต่อชีวิตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนั้นเวลาที่ต้องเดินเยอะๆผมไม่รู้สึกว่ามันจะลำบากอะไรมากมาย แถมมันก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีซะด้วย
  3. ระหว่างที่ไปเรียนที่นั่น ผมกลายเป็นเด็กที่เก่งคณิตศาสตร์ที่สุดในห้องไปโดยปริยาย ทั้งๆที่ตอนอยู่เมืองไทยไม่เคยติด Top 10 เลย เวลาสอบที่โน่นเต็ม 100 เป็นว่าเล่น นั่นเป็นเพราะว่าหลักสูตรบ้านเราโหดกว่าเยอะเลยครับ ทั้งเรียนที่โรงเรียน ทั้งเรียนพิเศษ ไหนจะการบ้านอีก ใครมาเจอการเรียนแบบบ้านเราแล้วไปเจอแบบที่ผมเจอก็ top ได้ทั้งนั้นแหละครับ และด้วยความที่ได้คะแนนโดดเด่นขนาดนั้น มันก็เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกส่งไปแข่งขันคณิตศาสตร์ และผลลัพธ์ก็ออกมาเท่ห์อีกแล้ว ได้คะแนน Top 2% ของรัฐ คราวนี้ผู้อำนวยการโรงเรียนเรียกให้ไปโชว์ตัวต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนเลย วันนั้นรู้สึกตัวเองหล่อมาก :D ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนเยอะยังนึกอยู่เลยว่า "เอาวะ เก็บเกี่ยวความภูมิใจให้เต็มที่ กลับไปก็ไม่มีแล้วโอกาสแบบนี้" T.T
  4. แต่งตัวประมาณพวก cosplay ในวัน Halloween... ปกติผมไม่ชอบหรอกครับ แต่งตัวโน่นนี่ จะบ้ารึไง แต่ไหนๆก็อยู่ต่างแดนแล้ว บ้าให้เต็มที่ วันนั้นเลยรวมกับเพื่อนกลุ่มที่สนิทแต่งตัวเป็น The Addams Family ซะเลย โดยผมแต่งเป็น Gomez แล้วพวกเราก็ทำตัวบ้ากันให้เต็มที่ตลอดทั้งวัน ถึงตอนนี้จำไม่ได้แล้วด้วยว่าวันนั้นได้เรียนอะไรไปบ้างหรือเปล่า ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการศึกษาเหลืออยู่เลย แต่ความไม่ธรรมดาก็มาเยือนอีกเมื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมาขอถ่ายรูปกลุ่มเราลงหนังสือพิมพ์ เสียดายที่ผมทำมันหายไปแล้ว แต่จำได้ว่าวันนั้น family ผมซื้อมาอย่างน้อยๆก็ 5 ฉบับได้ ขี้เห่อเหมือนกันนะเนี่ย...
  5. Surf and drown... มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทั้ง family ไปเที่ยวต่างเมือง ไปอยู่บ้านพักติดหาดที่สวยมากๆ ผมจำได้ว่าเป็นทางที่จะตรงไป Canberra แต่จำชื่อเมืองไม่ได้แล้ว บ้านพักค่อนข้างเป็นส่วนตัวและคลื่นค่อนข้างแรง ต่อมอยากลองผมก็ทำงานอีกครั้ง ผมอยากลองเล่น surf ดูทั้งๆที่ว่ายน้ำก็ไม่เป็น (น่าอายจริงๆ) ผมก็เลยเริ่มจากอะไรง่ายๆ เป็นบอร์ดสำหรับนอนแล้วให้งอขาขึ้น พอคลื่นมาคลื่นมันก็จะดันขาเราให้เคลื่อนไปตามกระแสน้ำ โอ้โห ขอบอกว่ามันมากๆครับ! นี่ขนาดเว่าเป็นการ surf แบบเด็กอ่อนหัดมันยังสนุกขนาดนี้ ถ้าของจริงมันคงต้องเจ๋งมากๆแน่ๆ พอสักพักผมก็เริ่มเหนื่อย เลยคิดว่าจะไปเล่นน้ำเฉยๆก็พอ แต่แล้วความไม่ธรรมดาก็มาหาอีก ผมโดนสิ่งที่เรียกว่า Riptide จัดการ มันคือกรณีที่คลื่นลูกใหม่พัดเข้ามาและพยายามดันเราเข้าฝั่ง แต่ในขณะเดียวกันคลื่นลูกเก่าก้พยายามลากเราลอยลงไปในทะเล พอ 2 ลูกมาเจอกัน มันผลักให้หัวผมทิ่มไปข้างหน้าและดึงขาผมให้ถอยกลับไปในทะเล ผมจมทันที ไม่ว่าจะพยายามถีบตัวเข้าฝั่งเท่าไหร่มันก็เหมือนจะไม่ไปไหนเลย จนน้องคนหนึ่งเห็นต้องรีบวิ่งมาช่วย แต่ความซวยบังเกิด มันดันมาจมเป็นเพื่อนผม! เราทั้งถีบทั้งเหวี่ยงแขนกระจัดกระจายกว่าที่จะหลุดออกมาได้ จำได้ว่านอนนิ่งๆเพื่อสงบสติอารมณ์ไม่น่าจะต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงครับ
  6. Bikini party... หึๆ อยากอ่านเรื่องนี้กันล่ะสิ ไม่เล่าครับ :P ถึงจะไม่เท่า Baywatch แต่มันก็โอเคเลยล่ะ ฮ่าๆ
  7. Bungee Jumping อันนี้เป็นความสนุก ความประทับใจ ความสะใจ ความตื่นเต้นที่ปนกันอย่างแยกไม่ค่อยออก การโดดบันจี้เป็นความสุดโต่งหนึ่งที่อยากทำมานานแล้ว เห็นในทีวีก็รู้สึกว่ามันบ้าดี พอมาเล่นจริงๆ เออ... บ้าจริงๆด้วย หลายๆคนที่ไม่เคยเล่นคงคิดว่าความน่ากลัวคือการโดดให้ตัวเองร่วงลงมา แต่จริงๆแล้วเปล่าเลยครับ อันนั้นมันแค่จุดเริ่มต้น ความน่ากลัวจริงๆคือตอนที่มันดีดกลับครับ คือทุกคนจะเตรียมใจสำหรับการร่วง แต่น้อยคนที่จะเตรียมใจเผื่อสำหรับตอนที่เราดีดกลับ ไม่ค่อยมีใครคิดว่ามันจะรู้สึกยังไงที่เห็นโลกทั้งใบค่อยๆห่างจากเราออกไป ผมจำได้แม่นว่าสัญชาติญาณสั่งให้ความพยายามคว้าอะไรไว้สักอย่าง มันเลยเหมือนคนบ้าที่พยายามจะคว้าน้ำทะเลข้างล่างไว้ไม่ให้ห่างออกไป สมเพชตัวเองจริงๆ ฮ่าๆ
  8. นอนในหลุมกลางทะเลทราย... อันนี้เล่าไปในบล็อกก่อนหน้านี้ รบกวนไปอ่านอันนั้นนะครับ :)
  9. ปีนหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าใครเคยเห็นรูปประเทศออสเตรเลียจะเห็นว่ามีรูปภูเขาลูกหนึ่งอยู่เสมอ มันเรียกว่า Ayer's Rock หรือ Uluru ในภาษาชาว Aborigines ครับ นั่นแหละครับที่พวกผมไปปีนกันมา เราปีน Uluru ไปจนถึงยอดที่ลมแรงมากๆ เราสามารถปลิวหลุดออกจากเขาลูกนี้ได้ทุกขณะ แต่ความเสี่ยงและความตื่นเต้นนี่เองมันทำให้เราสนุกและหยุดไม่ได้จนกว่าจะถึงยอด และมันก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจจริงๆที่เราไปถึงยอดของมันได้
และนี่ก็คือความสนุกที่แปลกใหม่ 9 อย่างของผม มันยังมีอีกมากมายเลยที่ทำให้ 1 ปีนั้นเป็นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งในชีวิต แต่หลายๆอย่างคงไม่สามารถออกอากาศได้ ใครอยากรู้มาถามได้นะครับถ้ามีโอกาสได้เจอกันครั้งหน้า แล้วคุณมีความทรงจำอะไรที่แปลกๆแต่น่าจดจำบ้าง มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ :)

1 comment:

Unknown said...

สนุกๆๆ รออ่านตอนต่อไป ^^