Saturday, August 21, 2010

Life on the hill

ในปี 2540 ก่อนที่ใครจะรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนประเทศเราไปอย่างมากมาย ผมเองในตอนนั้นยังอยู่ม.5 เป็นเด็กต่างจังหวัดที่กำลังเตรียมตัวบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาประสบการณ์ใหม่ภายใต้โครงการที่ฟังดูดีที่คนทั่วไปรู้จักว่า "โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS" โดยผมเลือกปลายทางไว้ที่นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศที่คนทั้งโลกเรียกว่า Down Under ประเทศที่มีสัตว์น่ารักๆอย่างจิงโจ้ วอมแบต และแทสเมเนี่ยนเดวิล...

ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับการยืนยันเรื่อง host family ช้ามาก ทั้งบ้านผมร้อนใจมากเมื่อถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อนเดินทาง ทุกคนเป็นห่วงว่าผมจะไปอยู่ยังไงเป็นปีโดยที่ไม่มีครอบครัวที่โน่นรับไปเลี้ยงดู ผมเองกลับไม่ได้ห่วงเรื่องนี้เลย รู้แต่ว่าตื่นเต้น อยากออกไปดูโลกใหม่ อยากไปเจอฝรั่ง อยากไปฝึกภาษา อยากไปใช้ชีวิตอิสระด้วยตัวเอง อยากโน่นอยากนี่ ไม่รู้หรอกว่ามันลำบากมากยังไงถ้าไม่มีใครรับไปเลี้ยง จนกระทั่งวันก่อนบิน ผมถึงได้ซองจากเจ้าหน้าที่ AFS บอกว่าผมได้ครอบครัวแล้ว ได้แบบนาทีสุดท้าย เป็นชาว Irish ที่ย้ายมาตั้งรกรากที่ออสเตรเลีย 13 ปีก่อน สำหรับผมแล้ว ณ จุดนั้นอะไรก็ตื่นเต้นหมด ต่อให้เป็นชาวดาวนาเม็กผมก็คงไม่เกี่ยงแล้วล่ะ :D

และแล้วผมก็ได้ขึ้นเครื่องข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ดินแดนใหม่ที่รอคอยเสียที มันตื่นเต้นมากๆ เป็นครั้งแรกที่ไปต่างประเทศด้วยตัวเองและไม่มีครอบครัวไปด้วย ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ดีเลิศเลออะไร ถึงจะเคยติดท็อปตอนสอบภาษาอังกฤษบ้าง แต่อย่างที่ทุกคนรู้ เด็กไทยเก่ง grammar แต่สนทนาจริงบัดซบ (ถ้าแรงไปขอโทษนะครับ) คราวนี้เอาแล้วเว้ย พก grammar มาลุยกับเจ้าของภาษาซะที ยังไงเกมนี้ก็ต้องชนะ หนีกลับบ้านก่อนไม่ได้อยู่แล้ว

วันแรกที่ได้เจอหน้า host family ผมออกแนวมึนเล็กน้อย คือทุกอย่างมันดูใหม่และแปลกไปหมด อยู่ๆผมต้องเรียกใครไม่รู้ว่า dad แล้วไหนจะน้องอีก 4 คน เจอ dad ครั้งแรกตื่นเต้นใช้ได้ shake hand เสร็จแล้วยื่นมือไป shake hand ใหม่ บ้าชัดๆ ฮ่าๆๆ แล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่บ้านใหม่ บ้านที่จะต้องอยู่อีก 1 ปีเต็ม แล้วผมก็นั่งเบียดกับน้องๆผ่านทิวทัศน์บ้านช่องที่ดูดี อากาศกำลังดี ดูไปเรื่อยๆ พอออกนอกเมืองไปสักพักก็เริ่มเห็นต้นไม้มากขึ้น บ้านเรือนเริ่มน้อยลง แล้วต้นไม้ก็มากขึ้น แล้วบ้านเรือนก็น้อยลง แล้วต้นไม้ก็มากขึ้น แล้วบ้านเรือนก็หายไป... นี่กูกำลังจะไปไหนเนี่ย??

ผมจำไม่ได้ว่านั่งในความเงียบในรถคันเล็กๆนั้นนานเท่าไหร่ แต่ที่ผมรู้ มันเหมือนกับนั่งข้ามศตวรรษกันเลยทีเดียว ยังนั่งสงสัยกับตัวเองว่า แล้วถ้าจะออกไปไหนทีผมต้องทำยังไงเนี่ย เอ๊ะ หรือข้างในนี้มีเมืองอยู่ ยังแอบลุ้นแบบลมๆแล้งๆ จนในที่สุดรถก็มาจอดที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านชั้นเดียวแบบฝรั่งที่เคยเห็นในหนัง มันอยู่บนยอดเนินเตี้ยๆแบบโดดเด่นมาก เป็นบ้านที่ทุกอย่างที่อยู่รอบๆมีอย่างเดียวคือ...ป่า!! ผมลงจากรถแล้วก็ได้สูดอากาศที่แสนดีเข้าไปเต็มๆ ผมหันดูรอบทิศ ใจนึงแอบกลัว อีกใจผมตกหลุมรักกับสถานที่นี้ทันที ผมอยู่บนยอดเขาที่มีบ้านเพียงหลังเดียว มองลงไปข้างล่างไกลๆมีคลองเล็กๆอยู่ มันคือธรรมชาติที่เหมือนในนิยายเลยแฮะ... แล้วความเป็นวิทยาศาสตร์ของผมก็กลับมาอีกครั้ง... ไหนล่ะ เสาไฟฟ้า? ไหน? ทางไหน? มันไม่มีเสาไฟฟ้า!! ชิบหายละ

หลังจากนั้นสักครู่ผมก็ได้รับการแนะนำตัวกับคนในครอบครัวอย่างเป็นทางการ เป็นครอบครัวที่น่ารักดี ผมรู้ตัวว่าผมจะเข้ากับครอบครัวนี้ได้สบายๆ แต่สิ่งที่ผมยังทำใจไม่ได้ก็คือ ตอนที่นั่งคุยกันนั้นเป็นเวลาค่ำๆแล้ว มีไฟเปิดอยู่แค่นิดหน่อย ผมก็สงสัย เลยถามว่าเรื่องไฟฟ้านี่ยังไง ผมถึงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงจริงๆ และไม่พอ น้ำประปาก็เข้าไม่ถึงด้วย ดังนั้นทุกอย่างที่ใช้อยู่จึงเป็นไฟจากแบตเตอรี่และน้ำฝน! อืมมม ผมคงต้องปรับตัวครั้งใหญ่จริงๆ เรื่องไฟไม่เท่าไหร่แต่เรื่องน้ำนี่ผมเดือดร้อน ผมชอบอาบน้ำ ปกติก็คือบางทีอาบเสร็จแล้วแต่ก็ยังชอบให้น้ำไหลผ่านตัวไปเรื่อยๆ มันสบายดี คราวนี้มีน้ำจำกัดจะทำยังไง ถ้าไม่ได้อาบน้ำจะอยู่ยังไง เฮือกก..

ในอาทิตย์แรกผมก็ได้เรียนรู้ทันทีว่า ไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านนั้นมีที่มาอยู่ 2 แหล่ง นั่นก็คือจากแผง solar cell ที่ตั้งอยู่ข้างๆบ้าน ตัวแผงถูกวางเรียงกันและต่อสายไฟเข้ากับตู้แบตเตอรี่ข้างๆ ถ้าวันไหนแดดดี เราก็จะเห็นของเหลวในแบตเดือดปุดๆ แล้วนั่นก็หมายความว่าเราสามารถที่จะดูทีวีถึง 5 ทุ่มได้ แต่ถ้าวันไหนฟ้าปิด แดดน้อย เราก็อาจจะต้องเข้านอนกันตั้งแต่ 3 ทุ่ม มันคือวงจรการใช้ชีวิตที่ขึ้นอยู่กับพระอาทิตย์จริงๆ แต่ก็ไม่แย่เกินไปนัก เพราะเรายังมีแหล่งพลังงานที่ 2 อยู่ นั่นก็คือเครื่องปั่นไฟ ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงเครื่องยนต์ที่พอเติมน้ำมัน ดึงสายแรงๆทีนึงเครื่องก็จะติด นั่นล่ะครับ พลังงานที่ได้ก็จะต่อเข้าไปที่ระบบไฟฟ้าในบ้านเหมือนกัน แต่วิธีนี้มันต้องใช้น้ำมัน ซึ่งมีราคา เสียงดัง และมีควันเสีย เราจึงจะใช้เครื่องปั่นไฟเมื่อตอนที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เช่น ซักผ้า หรือวันที่แบตฯอ่อนแต่ต้องใช้ไมโครเวฟ เป็นต้น

ผมค้นพบว่า จริงๆแล้วมนุษย์เรามีความสามารถในการปรับตัวได้สูงกว่าที่เราคิด หลังจากผ่านไปแค่สองสามอาทิตย์ ผมก็เริ่มคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบนี้ ผมสามารถที่จะเข้านอนสามทุ่มได้ ซึ่งจริงๆแล้วต้องบอกว่ามันมีความสุขด้วย อย่างแรก พอไฟดับหมดแล้ว เราจะได้ยินเสียงลม เห็นต้นไม้ลางๆผ่านหน้าต่าง เห็นดาว หรือถ้าวันไหนฟลุ้คๆ ผมก็จะเห็นจิงโจ้กระโดดไปมาในลานหน้าบ้านด้วย นี่มันคือธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว หลายๆครั้งผมมีโอกาสได้นั่งดูต้นไม้ไหว ดูดาว แล้วก็นั่งปล่อยความคิดมันไหลไปเรื่อยๆ หลายครั้งผมคิดถึงครอบครัวจนแทบจะร้องไห้ แต่ผมก็รู้ว่านี่แหละ เป็นการมาฝึกตัวเองที่มีค่ามากเกินกว่าจะมานั่งร้องไห้หาพ่อแม่ ผมไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว ผมจะไม่ยอมแพ้จนกว่าผมจะบรรลุสิ่งที่ผมต้องการ และสิ่งแรกที่ผมต้องบรรลุก็คือ การอยู่ที่นี่ให้รอดให้ได้

หลังจากที่ผมเริ่มปรับตัวกับเรื่องไฟฟ้าได้ ผมก็พบว่าผมเริ่มปรับตัวกับการใช้น้ำได้เหมือนกัน ที่บ้านนี้มีแทงค์น้ำขนาดใหญ่อยู่ข้างๆตัวบ้าน พวกเรามีหน้าที่ในการตรวจดูระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะมีน้ำสำหรับดื่มและอาบได้อีกแค่ไหน ผมเองไม่เคยรู้สึกต้องการให้มีฝนตกมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ผมเองเป็นคนไม่ชอบฤดูฝน ไม่ชอบให้เสื้อผ้าเปียก ไม่ชอบการติดแหงกออกไปไหนไม่ได้ แต่การมาอยู่ที่นี่ทำให้ผมมีความสุขได้เวลาที่ฝนมาเยือน เพราะนั่นหมายถึงว่าเราสามารถที่จะอาบน้ำได้อย่างเต็มที่ถ้าหากว่าฝนยังตกอยู่ มันคือความสุขเล็กๆแต่มีความหมาย

หลังจากผ่านไปได้ราวๆครึ่งปีผมลองหันมามองดูความเปลี่ยนแปลงของตัวเองแล้วก็พบว่าพฤติกรรมของผมได้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว ผมไม่เปิดไฟฟุ่มเฟือย ผมอาบน้ำเร็วขึ้นเยอะ และเวลาที่ผมไปไหนก็ตามผมจะเปิดก๊อกเท่าที่จะเป็นจริงๆ มีหลายครั้งที่ไปบ้านเพื่อนแล้วพบว่าตัวเองไล่ปิดไฟในห้องที่ไม่มีใครอยู่ มีครั้งหนึ่งเจ้าของบ้านเดิมมาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ฮ่าๆๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมทำในสิ่งที่ควรทำ และผมภูมิใจที่ได้นิสัยใหม่นี้มา

จนกระทั่งกลับมาเมืองไทยที่บ้านก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่าผมมีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าและน้ำเปลี่ยนไป ผมเองพยายามจะรณรงค์ให้เพื่อนๆทำบ้าง แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่า บางอย่างถ้าเราไม่ไปเจอสถานการณ์ด้วยตัวเอง จะพูดยังไงใครก็ไม่เห็นคุณค่าของมันหรอก และผมก็ยอมรับตรงๆว่าเมื่อเวลาผ่านไป 13 ปี แม้จิตสำนึกผมจะยังอยู่ แต่ความกระตือรือล้นผมน้อยลงไปเยอะ ทุกวันนี้ผมเปิดแอร์นอนตอนกลางคืน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมยังอยากจะแก้ ผมไม่ยอมถอดปลั๊กทีวีแต่ปิดจากรีโมทแทน เรื่องนี้ผมก็จะแก้ และการมานั่งเขียนบล็อกนี้มันทำให้ผมรู้สึกมีความกระตือรือล้นนั้นกลับมาอีกครั้ง

ผมคงจะยังไม่ขอให้คนที่เข้ามาอ่านให้หันมาร่วมมือกับผมในการรณรงค์ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ตัวผมเองยังทำได้ไม่ดีพอเลย แต่ถ้าบังเอิญว่าสิ่งที่ผมเขียนมันจะช่วยให้คุณรู้สึกอะไรบ้าง ผมคงจะดีใจมากๆ ผมอยากบอกว่าโลกเรามันจะตายแล้วจริงๆนะครับ ตอนนี้มันโคม่าแล้ว คนที่จะแก้ได้มีแค่ 2 คน ก็คือคุณกับผม ผมสัญญาว่าผมจะเริ่มจริงจังกับการดูแลอะไรที่ผมทำได้ให้เหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง ถ้าคุณจะมาร่วมด้วย มันก็คงจะดีไม่น้อยนะครับ :)



3 comments:

pond said...

เห็นด้วยว่าเด็กไทยเก่งแต่ Grammar แต่เวลาสนทนาจริงไม่ค่อยได้เท่าไหร่ (เว้นแต่คนที่ดูหนังบ่อยๆ อันนี้เชื่อว่าช่วยได้นะ) เพราะเคยเจอเด็กที่อยู่เมืองไทย แต่ภาษาอังกฤษดีมาก เลยถามน้องเค้า เค้าบอกว่าฝึกบ่อยๆ ดูหนังบ่อยๆค่ะ

อ่าน blog แล้วได้ค.รู้ใหม่ๆจริง ไม่รู้เพราะไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปถิ่นธุรกันดารของออสเตรเลียเลย ไม่คิดว่าจะมีแถบที่ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ภาพที่เห็นเหมือนในหนังสือบ้านเล็กในป่าใหญ่เลย ตอนไปเจอแต่ความสบายอะค่ะ แต่สงสัยว่าไปโรงเรียนยังไงคะ ไกลซะขนาดนั้น

ส่วนเรื่องประหยัดน้ำไฟ ช่วงนี้ฝนตกกลางคืนประหยัดไปได้เยอะเลยค่ะ ปิดแอร์ เปิดพัดลมเป็นพอ แต่นิสัยที่ยังแก้ไม่หายคือเปิด notebook & router ทิ้งไว้ทั้งคืนเนี่ยสิ ต้องพยายามแก้

Chyu said...

เรื่องดูหนังผมยืนยันว่ามีผลครับ เหมือนไปเรียนกับเจ้าของภาษาเลย นั่งดูไปฝึกพูดตามไปมันค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ

การไปโรงเรียน... จริงๆน่าจะเล่าเพิ่มเพราะสนุกมาก :) ผมต้องตื่นตีห้าครึ่งทุกวันเพื่อเดิน 3.5 กม.ไปยังถนนใหญ่เพื่อไปขึ้นรถโรงเรียน นั่งรถไปอีก 20 นาที และทำแบบเดียวกันตอนกลับ นั่นเท่ากับว่าผมเดินวันละ 7 กม.ทุกๆวัน ตั้งแต่นั้นมาผมเลยรู้สึกว่าการเดินไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าไม่ไกลมากก็เลือกที่จะเดินแทนครับ :)

Unknown said...

อ่านแล้วนึกภาพตามสนุกดีเหมือนอ่านวินนีย์เดอะพูห์อ่ะ ตอนนี้เลยพาลอยากรู้เรื่องของคนอื่น อย่าง โย ไอซ์ อุ๊ บ้าง พอนึกถึงตัวเองแล้วก็เลยอยากรู้ว่าตอนเป็นเด็กๆ แล้วถูกส่งไปอย่างนี้เพื่อนๆ มีสภาพเป็นยังไงกัน :)