Saturday, December 6, 2008
แล้วคุณเป็นรถแบบไหน
Sunday, November 30, 2008
งานแต่งเพื่อนษา
Thursday, November 27, 2008
ออกจากกล่องเล็กๆ ไปอยู่บนฟ้า
พอมาถึง ตอนแรกกะจะไปนั่งโซนเบียร์สิงห์ ฟัง ดา เอนโดฟิน.. แต่กว่าเราจะมากันครบ พี่ดาคงหลับไปแล้ว เลยต้องเร่รอนไปจนตัดสินใจกันไปจบที่ Red Sky พื้นที่หรูหราบน Centara ลมเย็น เห็นดาวชัดเจน เป็นพิ้นที่ที่ระดับสายตาสู
คืนนี้คุยกันไปหลายเรื่อง เรื่องของเราเองบ้าง เรื่องชาวบ้านบ้าง สนุกดี ตลกบ้าง ไม่ตลกบ้าง แต่พอมีไวน์แปลกๆที่ไม่มีใค
จบละ... 555 นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้ล่
สวัสดีครับ
Saturday, November 22, 2008
Almost the end of the year
Sunday, October 5, 2008
Wonderful weekend
Tuesday, September 30, 2008
ก็แค่ตัดแขนทิ้ง ชีวิตยังไปต่อไป
Monday, September 15, 2008
สองวันสองคืนในพัทยา
Thursday, August 28, 2008
18 อย่างที่บอกว่าคุณกำลังรักใครอย่างจริงจัง
ลองดูนะครับ ว่าคุณเองเคยรักใครแล้วมีครบทั้ง 18 ข้อหรือเปล่า ถ้ามี...ดูแลคนๆนั้นๆให้ดีๆนะครับ
1. You are comfortable and secure in your relationship. You trust that your partner won't hurt you and there is no need of suspicion or jealousy.
2. You have remained together through good times and bad.
3. Thoughtful things are done just because it makes both of you feel good.
4. Neither of you make sacrifices, only compromises.
5. Your significant other has told you of their deep feelings, and they are returned.
6. Your affections for your partner make you feel special and good about yourself.
7. When there is a fight, you usually make up after only a few hours and agree that nothing is more important than both of you expressing your true feelings, even if they cause conflict.
8. You and your partner feel no need to test each others feelings or loyalties.
9. You can be yourself when with your partner more so than anyone else.
10. You've forgotten your ex.
11. You can't stop thinking about your partner.
12. You care about your significant other more than anything.
13. You find your partners quirks charming.
14. You have great chemistry.
15. You don't notice others as much.
16. You love spending time together.
17. Other priorities take a backseat.
18. You start thinking about your future together.
Monday, August 18, 2008
Sydney and me (Part II) - House on the Hill
บ้านที่ผมอยู่ด้วยนั้นอยู่บนยอดเขาโดดๆ เป็นเขาที่ครอบครัวนี้ไปซื้อไว้ ถ้ามองลงไปจะเห็นมีลำน้ำเล็กๆอยู่ สามารถไปพายเรือเล่นได้ ต้นไม้เต็มไปหมดทุกทิศทาง บ้านหลังนี้ dad กับ mum สร้างขึ้นเอง โดยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อ Patrick เป็นคนช่วย ทุกส่วนในบ้านทำเองหมด แต่ด้วยความที่มันอยู่ไกล บ้านนี้จีงไม่มีไฟฟ้าใช้ครับ หมายถึงว่าไฟฟ้าที่ลากสายไฟเข้ามาเนี่ย...ไม่มี ดังนั้นพลังงานในบ้านจึงมาจากแผ่น solar cells และเครื่องปั่นไฟล้วนๆ เราจะดีใจกันมากที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าวันนั้นแดดออกเปรี้ยงๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะเก็บไฟไว้ใช้ได้อีกหลายวัน ถ้าวันไหนแดดแรงหน่อย พวกเราก็จะได้ดูทีวีจนดึกกว่าวันอื่นๆที่ท้องฟ้าปิด
แต่ด้วยความที่มันธรรมชาติสุดๆนี่เอง พวกเรามักจะมีเพื่อนบ้านที่ไม่ได้รับเชิญอยู่หลายครั้ง... ผมเองเป็นคนที่กลัวงูแบบสุดขั้ว มีวันหนึ่งกลับบ้าน mum เปิดถังให้ดูและพบว่ามีงูดำตัวเท่าแขนผมยาวเฟื้อยนอนตายอยู่ในนั้นโดยที่หัวมันระเบิดไปแล้ว มารู้ทีหลังว่า Mark ได้ยินหมาเห่าจึงดูจากหน้าต่างแล้วเห็นมีงูอยู่ Mark จึงไปหยิบปืนมาเล็งยิง ปรากฏว่านัดเดียวอยู่เลย... หรือจะอีกครั้งก็คือมีอยู่คืนหนึ่ง ผมกำลังนอนหลับอยู่ จู่ๆก็มีเสียงดังลั่นที่กำแพงฝั่งที่ผมนอนอยู่ ผมตกใจตื่นดูหน้าต่าง เห็นเงาตะครุ่มๆกระโดดๆไป มารู้ตัวก็ตอนที่ dad ออกมาดูแล้วก็บอกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆว่า มันคือจิงโจ้นั่นเอง นานๆครั้งก็จะมีจิงโจ้ออกมากระโดดเล่นแล้วด้วยความมืด มันคงไม่เห็นกำแพงบ้าน เลยอัดเข้าไปดังโครมขนาดนั้น ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จิงโจ้ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม เหมือนการเห็นหมาในบ้านเราล่ะครับ เพราะมันเยอะใช้ได้ทีเดียว สักพักๆมันก็จะออกมากระโดดแข่งกับรถระหว่างที่เราขับออกไปถนนใหญ่ เห็นมันกระโดดๆแล้วก็รู้สึกประหลาดดีเหมือนกัน ถ้าคุยกันรู้เรื่อง ผมคงจะถามพวกมันว่า "เหนื่อยมั้ย?"
การที่บ้านอยู่บนเขาขนาดนั้นทำให้พวกผมได้ฝึกการเดินแบบ intensive course เลยทีเดียว... ผมและเด็กๆต้องเดินวันละ 7 กิโลเมตรเพื่อไปและกลับจากโรงเรียน อ้อ... ยังครับ เดิน 7 กิโลเพื่อไปและกลับจากรถโรงเรียนอีกทีครับ การเดินไม่ใช่การเดินถนนลาดยางที่มีต้นไม้ปกคลุมร่มรื่นซะด้วย พวกเราเดินกันทั้งบนดิน ทราย หินและถ้าช่วงไหนฝนตกก็ต้องบวกโคลนไปด้วย... 12 เดือนที่อยู่บ้านนั้น ทำให้ผมได้ฝึกความอดทนและฝึกร่างกายแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วงแรกๆผมเหนื่อยและอยากจะย้าย host มาก แต่พอผ่านไปสักพัก ผมพบว่าผมมีความอดทนมากขึ้น สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจตลอดเวลาระหว่างที่เดินก็คือ "เดี๋ยวมันก็ผ่านไป" "อีกแป๊บก็ถึง" และ "หยุดตรงนี้แล้วมึงจะถึงบ้านได้ไง" พอเรากลั้นใจเดินไป เดี๋ยวมันก็ถึงจริงๆ ตั้งแต่นั้นมา ผมพบว่าผมเป็นคนใจเย็นมากขึ้น ผมยอมที่จะรอเพื่ออะไรๆได้โดยที่ไม่หงุดหงิดโวยวาย และตั้งแต่นั้นมา หลายๆคนที่รู้จักผมก็มักจะทักว่าผมเป็นคนใจเย็น ทั้งๆที่ตอนเด็กผมเอาแต่ใจและอารมณ์ร้อนสิ้นดี
ความสนุกอีกอย่างก็คือการที่เราใช้วันหยุดเดินลงไปพายเรือเล่นที่ลำน้ำข้างล่าง ถ้าคุณเคยดูหนังฝรั่งที่มีธรรมชาติสวยๆ มีเขาล้อมรอบ น้ำใสๆเย็นๆเห็นตัวปลา ว่ายวนไปมาน่าเอ็นดู มีฝรั่งชายหญิงพายเรือเล่นกัน หน้าตายิ้มแย้ม นั่นละครับ! อารมณ์นั้นเลย ผมกับเด็กๆมักจะลงไปเล่นน้ำ พาย canoe และก็อาศัย sausage ของใครที่ตามที่พาเราลงไปเพื่อประทังชีวิต มันเป็นความสงบ ร่มรื่นที่แสนสบายใจจริงๆ รู้เลยว่าทำไมทาร์ซานชอบอยู่ป่า เพราะอากาศมันเย็นสบาย สดชื่นดีจริงๆ
เป็นไงครับ เรื่องแรก..? ถ้ายังไม่เบื่อไปซะก่อน รออ่านเรื่องต่อไปเร็วๆนี้ครับ
Saturday, August 16, 2008
Sydney and me (Part I)
ผมสอบ AFS 2 ปีติดต่อกัน ปีแรกผมสอบผ่านข้อเขียนแล้ว แต่ผมเปลี่ยนใจไม่ไปสัมภาษณ์ซะงั้น เหตุผลหนึ่งคือประเทศที่เลือกไปได้ไม่น่าสนใจ อีกเหตุผลคือผมเกิดกลัวการไปอยู่คนเดียวขึ้นมากระทันหัน และเหตุผลสุดท้ายคือติดเพื่อนและแฟน... แต่หลังจากที่เห็นเพื่อนไปกันแล้ว จึงมาสำนึกว่า ไม่น่าปล่อยให้ความฝันนั้นหลุดมือไปเลย ทั้งๆที่ตั้งใจดิบดีแล้วแท้ๆ จากตอนนั้นเองผมเลยตั้งความหวังไว้ว่าปีต่อมาผมจะต้องสอบอีกและคราวนี้ยังไงก็ต้องไปให้ได้
หนึ่งปีหลังจากนั้นผมทุ่มเทเต็มที่ โชคดีที่ผมเองมีพื้นภาษาที่ค่อนข้างโอเค แม้จะไม่ได้เลิศเลอ แต่ก็พอเอาตัวรอดได้สบายๆ ผมท่องศัพท์เองทุกวันวันละ 20 คำแบบสะสมไปเรื่อยๆ หมายถึงว่า วันนี้ท่องได้ 20 พรุ่งนี้เอาอีก 20 แต่ของเก่าต้องได้ด้วย จนผมรู้ตัวอีกที ผมซัดไปน่าจะเกือบๆพันคำภายในเวลาไม่นาน ในขณะเดียวกันผมต้องเตรียมตัวโดยการไปเรียนรำดาบเพื่อสอบสัมภาษณ์ด้วย ผลลัพธ์ก็คุ้มค่ากับความตั้งใจจริงๆ ผมได้ที่หนึ่งของคนที่เลือกประเทศออสเตรเลีย และแน่นอนครับ ไม่นานหลังจากนั้น ผมก็ต้องจากบ้านเกิดไปอยู่ต่างถิ่น ดินแดนแห่งจิงโจ้ แผ่นดินที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล
ทุกคนที่ไปจะได้อาศัยกับ host ที่เป็นอาสาสมัครซึ่งคนเหล่านี้รับนักศึกษามาอยู่ด้วยและดูแลเหมือนคนในครอบครัว ผมเองจะแตกต่างกับคนอื่นหน่อย ตรงที่ผมได้ host วันก่อนบินเพียงวันเดียว... พ่อแม่ ญาติๆลุ้นยังกะผมจะไปแข่งโอลิมปิค ผมเองลุ้นยังกะจะไปต่างดาว พอๆกันเลยบ้านนี้ แถมที่แตกต่างอีกข้อก็คือ ครอบครัวนี้เป็นชาว Irish ครับ... สำหรับผมแล้ว ยังกะได้ไปต่าวดาว 2 ดวงในการบินเที่ยวเดียว คุ้มจริงๆ
ครอบครัวนี้น่ารักมากๆครับ Dad กับ Mum เป็นชาว Irish ที่โตใน Ireland เลย ดังนั้นภาษาจะมีสำเนียงของชาว Irish ขนานแท้ ในขณะที่ลูกๆมาโตที่นี่ รวมทั้งบางคนก็เกิดที่นี่ เลยมีสำเนียง Aussie แบบเต็มตัว... บ้านนี้มีลูก 4 คนครับ Mark, Michelle, Karren และ Greg เป็นเด็ก 4 คนที่อายุไล่เลี่ยกับผมหมด ดังนั้นผมจึงไม่มีปัญหาในการเข้ากับลูกๆเลย จะมีบ้างก็ที่ Mark ชอบทำตัวอวดเก่ง เป็นพี่คนโต จนหลายๆครั้งผมก็พูดใส่หน้ามันเป็นภาษาไทยเลยว่า "เออ มึงเก่ง... อย่ามาเมืองไทยละกัน" หรือบางครั้ง Michelle ก็ชอบทำตัวเป็นสาวเปรี้ยว จนผมแอบเขินไม่ได้ อย่างเช่นวันแรกที่ผมตื่นมา ผมออกมานั่งกินกาแฟ Michelle เดินออกมาโดยมีแค่บราและกางเกงในตัวจิ๋ว...โอ้ ต่างแดนนี่มันมีดีอย่างนี้นี่เอง ผมคิดในใจ...
ตลอดหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่ มีเหตุการณ์และเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ผมกล้าพูดได้เลยว่า ถ้าคุณผู้อ่านรู้ว่าผมผ่านอะไรมาบ้างคงต้องแอบทึ่งผมบ้างไม่มากก็น้อย แต่เอาเป็นว่าขอเป็น blog หน้าละกันนะครับ วันนี้ขอเกริ่นๆแค่นี้ก่อน
ราตรีสวัสดิ์ครับ

ตอนไปปีนเขากับ AFS
Chyu, Sono, Satoko

วิชาที่ผมชอบเรียนที่สุด... Drama

ตอนไปเที่ยว Safari 17 วันครึ่งประเทศ

กลางทะเลทรายที่อยู่ตรงกลางของประเทศพอดี
Thursday, August 14, 2008
Lingkoon
หลิงเป็นเด็กน้อยเพศหญิงนำเข้ามาจากมาเลย์เซียที่บังเอิญพูดไทยได้ดี หมายถึงว่าคำไหนที่พูดก็พูดได้ชัดสื่อความหมายถูก แต่คำไหนที่พูดไม่ได้ หลิงก็จะพูดเป็นภาษาอังกฤษไปเลย ดูอินเตอร์ดีนะครับ ผมรู้จักกับหลิงตอนที่ผมทำงานที่ MovieSeer หลิงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมสนิท และเราก็สนิทกันเร็วมากเพราะอย่างแรกคือหลิงเป็นคนสนุกสนาน หัวเราะได้ทั้งวัน ตอนแรกๆผมคิดว่าเค้าเพี้ยนๆ แต่หลังๆผมค้นพบว่า เออ ผมเองก็เพี้ยนระดับหนึ่ง เราเลยเข้ากันได้ดี ไม่รู้ว่าน่าดีใจมั้ย...
ผมเองทำงานที่ MovieSeer ได้แค่ช่วงสั้นๆ แล้วบังเอิญโชคชะตาก็พาระหกระเหินไปสู่บ้านใหม่อย่าง True Move แต่สถานะจากเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้ทำให้เราเลิกติดต่อกัน ผมเปลี่ยนหลิงจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งไปแทน จนเมื่อกี๊ ผมบอกหลิงว่าผมจะเขียน blog เกี่ยวกับมันนะ หลิงบอกว่า เออแปลกใจเหมือนกัน เพราะไม่เคยคิดว่าผมมองหลิงเป็นเพื่อนสนิท นึกว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้นเอง ผมก็ได้แต่ตอบหลิงไปว่า ช้าไปละ ถึงจังหวะนี้จะเลิกเป็นเพื่อนสนิทกันก็คงไม่ทันละ ซวยละมึง...
สาเหตุหลักอันนึงที่ทำให้เราสนิทกันมากช่วงนี้คงเป็นเพราะเราผ่านอะไรมาคล้ายๆกันนิดหน่อย ช่วงที่ผมตกต่ำมากหลิงนี่แหละที่ผมคุยด้วยเยอะที่สุด และทุกครั้งที่คุยก็จะรู้สึกดีขึ้นได้ท้นที หลิงให้มุมมองของคนที่ผ่านมาก่อน แม้หลิงเองจะอยู่ในสถานะของอีกฝั่ง คือการเป็นคนบอกเลิกกับแฟน แต่มันทำให้ผมเข้าใจถึงสาเหตุของสถานการณ์ที่คนบอกเลิกก็ต้องเจอ ผมเข้าใจเลยว่า จริงๆมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันสำหรับเด็กอินเตอร์ที่จะมารับคนกึ่งไทย กึ่งจีน และมีเศษเสี้ยวของความคิดนอกคอกแบบผมได้ แล้วพอคุยเรื่องหนักๆกันไปสักแป๊บมันก็จะลงเอยด้วยการเล่นตลกคาเฟ่ผ่าน MSN ไปทันที แล้วอารมณ์ที่กำลังย่ำแย่ของผมก็จะกลายเป็นอารมณ์ร่าเริงหายโศกไปในบัดดล
ผมว่านี่ล่ะมั้งที่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมยกระดับความเป็นเพื่อนร่วมงานของหลิงให้กลายเป็นเพื่อนสนิท เหตุผลง่ายๆเลยครับ หลิงช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลาแย่ๆไปได้ในเวลาที่ผมต้องการคุยกับใครสักคน ในขณะเดียวกัน วันที่หลิงมีอาการแย่ๆ หลิงก็โทรมาร้องไห้กับผมเหมือนกัน (Sorry I have to mention about you crying, but it helps with the explanation.) คุณผู้อ่านลองนึกถึงการที่มีใครสักคนเวลาที่คุณล้มคอยช่วยพยุงคุณให้เดินต่อไปได้ เค้าสำคัญกับคุณมั้ยครับ...
หลิงเคยตั้งฉายาให้กับผมว่า ผมเป็น Piggy ในเรื่อง Chicken Little อ้อ คือตอนนั้นผมยังอ้วนกว่าตอนนี้เยอะอ่ะครับ ผมยังนึกไม่ออกจนถึงวันนี้ว่าจะตั้งฉายาอะไรให้หลิงดี เอาเป็นว่า แกก็เป็นหลิงคุนต่อไปละกัน
I'll see you next week dude.
ปล. เอารูปมาให้ดูครับ หลิงคุนกับแฟน เป็นคู่ที่น่ารักดีนะครับ

Wednesday, August 13, 2008
Head or heart...?
สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันน่าจะมีทั้งสองอย่างเพื่อให้มันเกิดการคานกัน ตัวอย่างเช่น ตอนที่คุณรู้สึก in love มากๆ คุณก็ให้หัวใจทำงานไป แต่ตอนไหนที่คุณรู้สึกเบื่อๆหรือต้องการมองหาอะไรใหม่ๆที่มันตื่นเต้น คุณอาจจะต้องลดความสำคัญของหัวใจลง แล้วให้สมองทำงานแทนไปก่อน เพราะเมื่อเรามองถึงข้อดีต่างๆนานาของคนที่เรารักแล้ว ผมว่าเมื่ออารมณ์ว้าวุ่น เบื่อหน่ายต่างๆผ่านไป ความสัมพันธ์มันก็จะได้ยังคงอยู่ สำหรับผมแล้ว อารมณ์พวกนี้มันอาจจะบังคับกันไม่ได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้มันมีบทบาทเหนือการควบคุมของเรา เราอาจจะต้องเสียใจกับสิ่งที่เราทำไปตลอดไปเลยก็ได้ จริงมั้ยครับ

ที่ P&G เองก็มีอะไรคล้ายๆกัน นั่นคือโปรแกรม work-life balance ที่เป็นหลักสูตรที่พนักงานของ P&G ต้องเข้า (ตามที่เพื่อนผมบอกมาอีกที) หัวใจของหลักสูตรนี้คือ ต่อให้คุณมีความตั้งใจจะทุ่มเทกับงานแค่ไหน คุณก็ต้องมีอย่างอื่นด้วยเหมือนกัน โอเค มันอาจจะไม่เหมือนกับเรื่องที่ผมเล่าก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่ผมต้องการบอกก็คือ ผมว่าทุกๆอย่างมีส่วนตรงข้ามของมันอยู่ อะไรก็ตามที่มันต้องมาด้วยกันแต่อาจจะขัดกันโดยธรรมชาติ สิ่งที่ท้าทายและจะเป็นจุดวัดของคนที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ... ใคร balance มันได้ดีกว่ากัน
พอย้อนกลับไปถึงหัวข้อตั้งต้นของผมอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าผมก็ยังมีอะไรต้องปรับแก้อีกเยอะ มันคงไม่มีสูตรตายตัวด้วยซ้ำที่จะยื่นให้ใครแล้วจะทำกันได้ดีทุกคน แต่นั่นคงจะเป็นเสน่ห์ของการเรียนรู้มั้งครับ
ถ้าวันหนึ่งผมประสบความสำเร็จ ผมจะมาแบ่งปันให้ได้ทราบกันอีกทีครับ
Tuesday, August 12, 2008
จบไปอีกหนึ่งรุ่น
ล่าสุดการไปงานรับปริญญาก็เป็นสิ่งที่ทำให้ใจหายเหมือนกัน เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งแต่งชุดครุยมาถ่ายรูปกับเพื่อนๆเอง พอกระพริบตาผ่านไปไม่กี่แสนครั้ง รุ่นนี้ก็มารับต่อละ เร็วจริงๆ
ขอเอาอีกรูปมาแปะ เป็นรูปของรุ่นพี่และ staff ของโครงการครับ
แล้วก็แถมท้ายด้วยรูปที่ขโมยมาจากเว็บของน้องๆ




Friday, August 1, 2008
มองไปรอบๆตัว...
สาเหตุที่ทำให้ผมถึงกับต้องเขียนถึงเรื่องธรรมดาๆอย่างนี้ก็คือ การที่หลังๆนี่การเลิกกันเริ่มมีเหตุผลที่ซับซ้อนมากขึ้น หรือถ้าจะให้เอาให้ตรงไปตรงมากว่านั้น มันคือการมีเหตุผลน้อยลงครับ... สิ่งที่ผมได้ยินจากการเลิกกันในยุคก่อนๆคือ การที่คนสองคนอยู่ด้วยกันแต่เข้ากันไม่ได้จริงๆ ทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนทางออกเดียวคือการแยกกันอยู่ หรือการที่สังคมหรือพ่อแม่ไม่ยอมรับ อะไรประมาณนี้ แต่สิ่งที่เกิดหลังๆ โดยเฉพาะช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ก็คือ การที่คนสองคนยังรักกันอยู่แต่จำเป็นต้องเลิก... นี่แหละที่ผมบอกว่ามันซับซ้อน ก็ไอ้ความจำเป็นนี่แหละ ที่บางทีเราต้องอาศัยความพยายามพอสมควรเพื่อที่จะเข้าใจความจำเป็นที่ว่านี่ ซึ่งหลังจากที่โดนกับตัวเองแล้ว ตอนนี้... ผมกำลังอยู่ในสถานะการเป็นที่ปรึกษาให้กับเพื่อนสนิทผมอีกหนึ่งคนที่กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองในการตัดสินใจว่า"ความจำเป็น"นี้ จะมีผลต่ออนาคตของความสัมพันธ์อันดีของตัวเองหรือไม่
ความจำเป็นที่ว่านี้ มันมาในหลายรูปแบบของคำอธิบาย สิ่งที่ผมเผชิญคือ การอยากเป็นตัวของตัวเอง การอยากทำอะไรที่ตัวเองอยากทำอย่างเต็มที่ ซึ่งผมขอไม่พูดถึงกรณีของผมเองนะครับ เอาเป็นว่า ผมเข้าใจคำอธิบายและผมก็ติดตามผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า แล้วผมก็พอจะเข้าใจละว่าอะไรเป็นอะไร แต่สำหรับของเพื่อนผม การที่เหตุการณ์มันเหมือนย้อนมาให้ผมระลึกถึงอีกครั้งนี่ทำให้ผมได้เห็นเหตุการณ์ที่คล้ายเดิม แต่ในมุมของอีกฝั่ง นั่นคือฝั่งคนบอกเลิก จริงอยู่ว่าเพื่อนผมยังไม่ได้บอกเลิกแฟน แต่ผมหมายถึงว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดทั้งหมดว่าอะไรเป็นอะไร แล้วที่สำคัญคือ เพื่อนผมที่ว่านี่เป็นผู้หญิงที่มีหลายๆอย่างคล้ายแฟนผมที่กลายเป็นอดีตไปแล้วซะด้วย
ผมไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นไง เค้าอาจจะลงเอยด้วยกันอยู่ด้วยกันแบบ happily ever after แต่อย่างน้อย สิ่งที่ผมกำลังมองเห็นอยู่นี้ มันก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจทีเดียว นี่ล่ะมั้งลักษณะของ adolescence ที่เรียนมาตอนเรียนโท มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...
Sunday, July 20, 2008
ความสุขง่ายๆที่อัมพวา (ย้ายมาจาก Multiply)
สองอาทิตย์นี้ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสบ้านนอกมา จะว่าไปก็ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพสักเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกผิดกันลิบลับ ผมไม่รู้ว่าจริงๆทำไมต้อง"อัมพวา" เพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่าเป็นเพราะละครทีวีที่ทำให้ที่นี่ดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน ครั้งแรกที่ผมไปคืออาทิตย์ก่อน ซึ่งผมไปตอนกลางวันเลยไม่ได้สัมผัสความเป็นอัมพวาอย่างที่หลายๆคนมาแสวงหา แต่ล่าสุด...ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ผมมีโอกาสได้กลับไปอีกครั้ง และครั้งนี้แหละที่ผมว่าผมได้สัมผัสความเป็นอัมพวามากกว่าใครๆอีกมากมาย...
การเดินทางครั้งนี้ผมไปกับเพื่อนๆที่ทำงาน เป็นการไปเที่ยวสั้นๆ แค่หนึ่งวันหนึ่งคืน เริ่มเดินทางบ่ายวันศุกร์ครับ กว่าจะไปถึงก็เย็นๆแล้ว เลยไม่รีรอ รีบดิ่งไปที่ตลาดน้ำยามเย็นเลย
โอ้โห แม่เจ้า... คนยังกะพันธมิตรมดเพื่อขุมน้ำตาล คนเยอะอะไรจะขนาดนั้นครับพี่น้อง แตกต่างกับอาทิตย์ก่อนโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คน คน คน... แย่งกันเดิน แย่งกันกิน แย่งกันหายใจ แต่ไหนๆมาแล้วก็ต้องฝ่าเดินมันไป ทั้งๆที่เป็นที่เดิมที่เคยมาแค่เจ็ดวันก่อน แต่ทุกอย่างมันช่างแตกต่างกันครับ ไม่น่าประทับใจเลย ดีว่าครั้งก่อนเดินมันทุกมุมแล้ว เลยไม่รู้สึกพลาดอะไรไป
Hilight ของการเดินทางนี้อยู่ที่การพายเรือดูหิ่งห้อยตอนกลางคืน... เนื่องจากว่าคนที่มาก็ไม่ได้มีใครเป็นเด็กต่างจังหวัดเลย ผมเลยต้องอาสาเป็นมือพายของเรือไป... เราพายกันไป 2 ลำ แบ่งคนเท่าๆกัน ดีว่าพี่ที่คุมท้ายเรือผมเค้าพายเป็น ไม่งั้นผมคงพายเรือวนไปวนมา หรือไม่ก็ไม่ไปไหนเลย น่าอายจริงๆ... ผมจำเวลาที่เราพายกันไม่ได้ แต่รอบข้างมืดสนิท อากาศก็น่าจะเย็นสบายนะครับ ที่ผมไม่แน่ใจและใช้คำว่า"อาจจะ"เนี่ยเป็นเพราะว่าการพายเรือทำให้ผมเหงื่อท่วม ผมเลยไม่รู้ว่าจริงๆอากาศมันเป็นยังไง แต่เท่าที่ดูจากคนอื่นๆ อากาศมันคงจะดีอ่ะครับ เห็นนั่งกันสบาย คุยกันสนุก -_-"
เราไปกันแบบลูกกรุงมากๆ เจอหิ่งห้อยกระพริบตัวเดียวก็ตื่นเต้นกันแล้ว แถมมีเพื่อนคนหนึ่งคิดว่าหิ่งห้อยต้องอยู่กับต้นลำพู เพราะงั้น ไม่ว่าคืนนั้นจะเจอต้นไม้อะไร เธอจะต้องเรียกมันว่าต้นลำพูหมด ขำจริงๆครับ...
การพายเรือคืนนั้นทำให้ผมรู้สึกสงบมาก ผมอธิบายไม่ถูก สงสัยเป็นเพราะบรรยากาศที่มันเงียบสงบมั้งครับ หรือเป็นเพราะความมืด หรือเป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่การไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบไม่มีร่องรอยความเจริญอะไรเลยนี่มันเป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ เหมือนกับเวลามันไม่ได้เดินไปไหนเลย ผมไม่รู้ว่าผมพายเรือไปนานเท่าไหร่แล้ว ผมก็แค่พายไปเรื่อยๆ ดูหิ่งห้อยตัวแล้วต้วเล่ากระพริบแสง บินจากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง บางตัวหลงมาเกาะเพื่อนผม เลยโดนทำโทษเป็นการยิงแสงแฟลชใส่ซะ แต่มันช่างสงบจริงๆ สงบจนผมรู้สึกว่า ถ้าผมหลงทาง พายกลับไม่ถูก ผมก็แค่เอนตัวนอนลงไป แล้วก็หลับไปได้เลย ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่ต้องพะวงอะไรทั้งนั้น งานการทุกอย่าง ไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดถึงที่นี่ ผมพายเรือของผมไปเรื่อยๆ คุยกับเพื่อนๆบ้างเป็นระยะๆ นั่นคงจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ผมรู้สึกว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่ต้องวิ่งตามอะไรให้เหนื่อย ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น สำหรับผม ณ วินาทีนั้น ผมหลุดพ้นจากพันธนาการทุกอย่าง... อาจจะฟังดูเวอร์ แต่ผมรู้สึกสงบและเป็นสุขทั้งๆที่ผมไม่ได้ลงทุนอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว...
ระหว่างทางกลับ พี่เจ้าของบ้านที่ใจดีก็แวะสอยมะพร้าวกลับมาด้วย เต็มเรือเลยทีเดียว พวกเราเลยต้องรับหน้าที่กำจัดมะพร้าวอ่อนสดๆจำนวนมากมาย อร่อยจริงๆครับ หอมและเนื้อนุ่มมาก คืนนั้น แม้จะแปลกที่แต่ผมก็นอนหลับไปได้สบายๆ
ผมตั้งใจไว้ว่า ต่อจากนี้ไป ผมจะต้องหลบ"ความเจริญ"และกลับสู่ห้องกาลเวลาอย่างนี้อย่างน้อยปีละครั้ง มันเป็นการเติมพลังที่ดีมากครับ แค่คืนเดียวสั้นๆ มันทำให้แบตเตอรี่ที่เสื่อมๆของผมกลับมามีพลังเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
ถ้าคุณมีโอกาส อย่าลืมทดลอง"ทิ้งตัวเองเพื่อกลับสู่ความเป็นตัวเอง"กันบ้างนะครับ ถ้าใครสนใจ ก็ลองแวะมาบอกกล่าวนะครับ เผื่อครั้งหน้าผมไป จะได้ชวนไปด้วยครับ หรือถ้าใครไม่รังเกียจให้ผมเกาะไปด้วย ก็แวะมาชวนด้วยนะครับ ผมจะเป็นเพื่อนเดินทางที่ดี รับรองครับ ^^
Monday, July 7, 2008
Q3...
เกือบสองเดือนแล้ว ที่ชีวิตกลับมาเป็นโสดเต็มๆตัวอีกครั้ง ไม่ได้อยู่ในสภาพนี้นานแล้ว ก็ตั้งแต่เริ่มเรียน MIM ชีวิตก็ยุ่งๆ มีอะไรทำมากมายมาตลอด ทั้งสนุกสนาน วุ่นวาย หัวเราะ ร้องไห้ มีทุกรสชาติเลยตลอด 3 ปีนี้ วันนี้ต้องกลับมาปรับพฤติกรรมตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ตอนแรกๆก็เรียกว่าสาหัสทีเดียว แต่ก็นะ... มันก็เหมือนการโดนรถชนอ่ะครับ มันเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน แล้วก็เจ็บไม่น้อยทีเดียว แต่สำหรับคนภายนอกมันเป็นแค่แผลที่มองไม่เห็นด้วยตา ต้องบอกว่าที่รอดมาได้เพราะมีกำลังใจดีๆมากมายรอบตัวครับ ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกคนที่อยู่กับผมมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แล้วก็ต้องขอบคุณอีกหลายคนที่ไม่ได้อ่านด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ อาๆ น้องๆอีกหลายคน พี่ๆที่ทำงาน มันเป็นสองเดือนที่สับสนวุ่นวายมากสำหรับผม แต่ผมก็รอดมาได้แล้ว สิ่งร้ายๆผ่านไปแล้ว ครึ่งปีหลังนี้จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ ผมว่ามันจะเป็นครึ่งปีที่ดีมากๆเลยครับ ^^
อย่างแรก... Project ที่ทำมาตลอด 4 เดือนปิดลงไปแล้วหนึ่งอัน เป็นความภาคภูมิใจมากๆ คิดว่าภายในเดือนนี้คงจะได้เห็นกันแล้วล่ะครับ หมายถึงว่าการแถลงข่าวนะครับ ตัว Project จริงๆคงจะยังไม่เห็นจนกว่าปีหน้า มันคืออะไร? รอดูครับ เร็วๆนี้แน่นอน
อย่างที่สอง... หมอดูบอกว่าผมจะเจอความรักครั้งใหม่เร็วๆนี้ 555 ใช่ครับ ผมไปดูหมอมา ถ้าคนที่รู้จักผมคงจะไม่เชื่อ เพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย แต่ผมรู้ละว่าทำไมศาสตร์พวกนี้ถึงอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ วันที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างมากมาย นั่นก็เพราะว่าวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเป็นคำตอบให้กับสิ่งที่มองไม่เห็นหลายๆอย่างได้ วันที่คนต้องการคำตอบประหลาดๆ ต้องการกำลังใจ สิ่งที่มองไม่เห็นกลับให้ความหวังเราได้มากกว่าทฤษฎีใดๆ อย่างไรซะ เอาเป็นว่าผมเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่หมอดูบอกละกัน :D มาเร็วๆนะ... ผมรออยู่
อย่างที่สาม... ผมกลับมาใช้เวลาอยู่กับการไปฟิตเนส และเจอเพื่อนๆ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำอยู่แล้ว น้ำหนักลดไป 10 กิโล รู้สึกดีขึ้นมากครับ แล้วก็ได้เจอเพื่อนๆบ่อยขึ้นเยอะ เรามีนัดสังสรรค์กันทุกเดือน สนุกดีจริงๆ
อย่างที่สี่... ผมกำลังเตรียมตัวก้าวออกจาก comfort zone ของผมครั้งใหญ่ ผมยังกลัวอยู่ จริงๆแล้วผมกลัวมาตลอด 2 ปีที่ผมคิดเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ถ้าจะพูดง่ายๆ ผมก็ไม่ค่อยจะมีอะไรให้ต้องเสียแล้ว ผมว่าผมจะทำให้มันเกิดขึ้นในปีนี้ล่ะ
ชีวิตของท่านผู้อ่านเป็นไงบ้างครับ มา update กันบ้างนะครับ
ขอให้ทุกคนมีความสุขและมีกำลังใจที่ดีนะครับ
Thursday, March 13, 2008
28 years later...
แล้วก็เผชิญกับวันงานหนักอีกหนึ่งวัน...จนเย็น พี่ไดเรคเตอร์แกล้งทำเป็นเรียกประชุม ไอ้เราก็เดาเกมออกแต่แรกละว่าจะมีเป่าเค้ก ก็เลยเอาน่ะ เล่นกับแกหน่อยละกัน... ฉากแกล้งประหลาดใจและดีใจเนี่ยเป็นฉากหนึ่งที่สำหรับผมแล้วน่าจะยากพอๆกับฉากร้องไห้... มันทำยากจริงๆนะครับท่านผู้อ่าน คือคุณเดาออกแล้ว แต่ต้องทำเป็นไม่รู้ คุณต้องทำเสียง "โห... ไปเตรียมกันตอนไหนเนี่ย" ให้เนียนๆ ระดับเสียงไม่ดังไปหรือเบาไป มือไม้ต้องทิศทางพอดี ไม่งั้นคนเตรียมจะเสียใจ... สำหรับผมแล้ว วันนี้ผมเข้ารอบชิงดารานำแสดงชายดีเด่น อาจจะไม่ถึงกับได้รางวัล แต่ผมว่าผมเข้ารอบสุดท้ายแน่ๆ...
ที่ผมดีใจคือยังมีคนบนโลกนี้ใส่ใจพอที่จะรู้ว่าผมยังไม่ได้แก่เกินไป เอ่อ.. แอบเข้าข้างตัวเองอ่ะนะเพราะผมไม่รู้จริงๆว่าทำไมเค้กที่ผมได้ถึง.... เอาเป็นว่าไปดูรูปเองละกันครับ

สุดท้ายแล้ว ผมก็มีความสุขดีกับวันนี้ ^^ ไม่ได้เลิศเลอ แต่ก็ธรรมดาแบบมีสีสัน... ขอบคุณทุกคนนะครับสำหรับคำอวยพรและที่อุตส่าห์จำกันได้ ทุกข้อความทางมือถือ ทาง MSN ทาง Facebook และ hi5 รวมทั้งที่บอกกับผมด้วยตัวเอง มันทำให้วันนี้ วันที่ผมเข้าใกล้การมีอายุ 30 มีความหมายและสร้างรอยยิ้มให้ผมได้ทั้งวัน... ขอบคุณครับ มีความสุขจัง _/\_
Wednesday, February 27, 2008
My Pepsi
เหนื่อยครับ แต่สนุกจริงๆ ถ้าเทียบงานที่ทำกับเงินที่ได้ มองให้ตายก็ต้องบอกว่าไม่คุ้ม เป็นที่อื่นน่าจะได้มากกว่าเกือบเท่าตัว แต่มันก็กลับไปที่สิ่งที่ผมต้องการ นั่นก็คือโอกาสเรียนรู้และทดลอง ก่อนนี้ผมค่อนข้างเบื่อกับงานที่แผนกเดิม ตอนนี้มีได้โอกาสที่จะลองโน่นลองนี่ ทำโน่นทำนี่ หลายๆอันต้องเรียกว่าเป็นเกียรติเลยด้วยที่ได้รับมอบหมายให้ทำ นั่นคือสิ่งที่ำให้ทุกวันที่ตื่นมาอยากรีบไปทำงาน ผมดีใจที่ได้กลับมารู้สึกอย่างนี้อีกครั้ง การที่ได้ดึงพลังในตัวออกมาใช้จนเกลี้ยงทุกวัน กลับไปตายที่บ้าน และตื่นมาอีกครั้งพร้อมกับพลังที่เต็มเหมือนเดิม นี่แหละความคุ้มของการมีชีวิตในแต่ละวัน แต่จริงๆผมก็ยังอยากที่จะสามารถแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกเหมือนกัน ตอนนี้ผมต้องบ่ายเบี่ยงทุกอย่างออกจากชีวิตประจำวันเพราะหมดแรงจริงๆ ผมทิ้งเพื่อน กิจกรรมข้างนอก การนั่งอ่านหนังสือสบายๆ การนั่งอ่านข่าว การนั่งฟังเพลง การดูทีวี เรียกว่าตัดทิ้งเกือบทั้งหมดเพื่อเก็บแรงไว้ตอนกลางวัน แต่นั่นก็เพียงช่วงนี้ครับ ผมยังไม่ลงตัว อีกเดี๋ยวพอผมปรับตัวได้แล้ว ผมจะเต็มที่ที่ทำงาน เต็มที่นอกที่ทำงาน และนั่นแหละครับ เป๊บซี่ของผม
เต็มที่กับชีวิต!
ปล. โค้กอย่าได้น้อยใจไป อย่างไรผมก็ยังไม่ดื่มเป๊บซี่ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ
ปล.2 วันนี้แบ่งเวลามาเขียนได้เพราะพลังเหลือนิดหน่อยจากการแอบงีบในรถไฟฟ้าระหว่างทางกลับบ้าน อีกไม่นานผมคงเป็นเซียนในการทำ power nap...
Thursday, January 3, 2008
ชาวเกาะ
โตมาอีกนิด เริ่มรู้จักระบบการเงิน เริ่มเห็นภาพว่า เป็นชาวเกาะจริงๆแล้วยากกว่าที่เคยคิด ต้องเริ่มคิดว่าจะหาเงินยังไง แถมอากาศก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดด้วย พอได้ไปเห็นเกาะจริงๆ ถึงจะสวยงาม แต่ผู้คนไม่ได้วิ่งเล่นสนุกสนานอย่างนั้น นกร้องก็จริง แต่พอรู้เรื่องการล่ารังนก เริ่มไม่ตลก นกมันเสียใจนะนั่นที่เอาไปลอยใส่ถ้วยน่ะ เริ่มรู้ว่า อยู่เกาะนานๆจะแสบร้อน ต้องเอาอะไรเหนียวๆทาผิวให้ไม่สบายตัวด้วย เริ่มไม่อยากเป็นชาวเกาะแล้ว
อีกหลายๆปีผ่านไป... มาวันนี้ เริ่มอยากกลับไปเป็นชาวเกาะอีกแล้ว ช่างมันเถอะเรื่องเงิน จะแสบจะร้อนบ้างก็คงไม่ตาย อาหารมีเยอะแยะ ถ้ากลัวอดตายก็ขนไปจากตัวเมืองก็ได้ ความเจริญน้อยหน่อย แต่ความวุ่นวายก็อาจจะน้อยกว่าเยอะเหมือนกัน ไม่ต้องมาสนใจอะไรที่ทำให้เราไม่สบายใจ ความสุขที่แท้จริงเหรอ ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถึงหลายคนพยายามจะบอกว่าเป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ ผมไม่รู้ แต่ผมรู้ว่า ถ้าไม่ทุกข์มันก็คือสุขแบบหนึ่งละ
วันหนึ่งผมอาจจะไปเป็นชาวเกาะจริงๆก็ได้ ใครจะรู้