สำหรับหลายๆคนอาจจะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าอ่างขางคือที่ไหน "อ่างขาง"เป็นดอยที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ถ้าเดินทางแบบที่ผมไปทุกปีตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ก็เริ่มจากการขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง รถนอนจะออกเดินทางประมาณ 6 โมงเย็น กว่าจะไปถึงก็ประมาณ 7 โมงเช้า จากนั้นก็แล้วแต่ว่าใครจะเดินทางต่อไปอย่างไร แต่โชคดีที่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาผมไปกับโครงการ MIM ของธรรมศาสตร์ทุกครั้ง มีรถตู้มารับและเพื่อนร่วมทางที่แสนดีจำนวนมากมาย จึงเป็นการเดินทางที่สนุกมากๆ
หลังจากที่นั่งในรถตู้กว่า 3 ชั่วโมงเราก็จะมาถึงบนโครงการหลวงดอยอ่างขางราวๆ 11 โมง ก็จะเป็นมื้อเที่ยงพอดี สิ่งแรกที่สัมผัสก็คืออากาศที่เย็นสบายและความรู้สึกที่ปลอดโปร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าให้เวอร์ๆไว้หน่อย ผมก็อยากที่จะสูดอากาศบนนั้นแล้วเก็บเอามาใช้หายใจต่อที่กรุงเทพเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ
โครงการหลวงดอยอ่างขางเกิดขึ้นจากพระราชดำริของในหลวง หลังจากที่ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนเมื่อหลายสิบปีก่อน ในตอนนั้นพื้นที่บริเวณนี้ทั้งแห้งแล้ง อันตราย และเต็มไปด้วยภัยเนื่องจากเป็นรอยต่อระหว่างไทยกับพม่า ใครที่อยู่แถบนี้ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ อาชีพหลักของชาวเขาในยุคนั้นก็คือการปลูกฝิ่น
จนกระทั่งวันที่"พ่อ"ได้มาเห็นเข้า จึงได้เริ่มจากการทำความเข้าใจถึงปัญหาของคนในท้องถิ่น และเริ่มให้หน่วยงานต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ ในตอนแรกนั้นหน่วยงานต่างๆและเจ้าหน้าที่พบปัญหามากมาย ทั้งเรื่องของความเข้าใจที่ผิดและการต่อต้านจากกลุ่มอำนาจท้องถิ่น การไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของชาวเขา ความหวาดกลัวต่ออิทธิพลมืด ฯลฯ ซึ่งโครงการต่างๆที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้เกิดจากความอดทนอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ปีแล้วปีเล่า และความตั้งใจดีที่จะเห็นชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น จนกระทั่งคนในท้องถิ่นเริ่มให้การยอมรับและปรับตัว
ทุกวันนี้ชาวเขาได้เปลี่ยนอาชีพจากการปลูกฝิ่นมาเป็นการปลูกพืชปลอดสารพิษ โดยมีโครงการหลวงเป็นผู้รับซื้อและจัดจำหน่าย ทำให้เกิดรายได้กลับมาสู่ชาวเขาและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมอ่างขางจะพบว่าพื้นที่ในโครงการหลวงเต็มไปด้วยพืชผักนานาชนิด ตั้งแต่ผักกาดยันกีวี และความสดอร่อยแทบจะไม่ต้องอาศัยการบรรยายใดๆเลย มันให้ความรู้สึกที่นอกจากอร่อยแล้วยังอิ่มเอิบด้วย
สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดนอกจากความบริสุทธิ์ของคนในท้องที่ อากาศที่ดี และน้ำใจอันงามของเจ้าหน้าที่แล้ว ผมยังมีอีกความประทับใจที่ทำให้ผมน้ำตาไหลทุกครั้งที่ไป นั่นก็คือเรื่องของ"ครูเรียม"
ครูเรียมเป็นผู้หญิงวัยห้าสิบกว่าๆที่ดูภายนอกก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไปตรงไหน แต่ความโชคดีทำให้ผมได้มีโอกาสรับฟังเรื่องราวจากคุณครูท่านนี้และพบว่าจริงๆแล้วครูเรียมไม่ใช่ครูธรรมดา แต่ท่านเป็นคุณครูที่ใช้ชีวิตเพื่อนักเรียนตัวน้อยๆด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์จริงๆ
ครูเรียมเดิมทีเป็นคนกรุงเทพ บ้านอยู่แถวๆหัวลำโพง เมื่อเรียนจบราชภัฏครูเรียมก็มีโอกาสได้เดินทางไปกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งเพื่อเป็นครูอาสา วันที่ครูเรียมไปถึงนั้นก็ได้พบกับความล้าหลังและภัยเต็มรูปแบบ ทั้งการรบที่ยังไม่สงบตลอดพื้นที่ พื้นที่ที่ยังไม่พัฒนาถึงขนาดที่ห้องเรียนยังเป็นห้องพังๆขนาดเล็กๆ และคนทั่วไปยังไม่รู้เลยว่าอนาคตจะออกหัวหรือก้อยในพื้นที่ที่ตัวเองอยู่
แต่แล้วด้วยความตั้งใจที่จะช่วยชาวเขา ครูเรียมก็เริ่มจากการหานักเรียนโดยการเดินไปหาครอบครัวชาวเขาทีละครอบครัว ค่อยๆรับนักเรียนเข้ามาในห้องเรียนของครูทีละคน บางวันก็เปลี่ยนรูปแบบการสอนโดยไปยังไร่บนดอยและให้เด็กๆวาดรูปแทน ปีแล้วปีเล่าที่ครูเรียมพยายามและอดทนเพื่อที่จะทำให้การศึกษากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวเขาที่นี่ หลายต่อหลายครั้งที่ตัวครูเองก็รู้สึกหมดแรงและอยากจะกลับบ้านแต่ก็กัดฟันสู้เรื่อยมา
จนวันหนึ่งก็มีเฮลิคอปเตอร์บินมา และผู้ที่ลงจากพาหนะก็คือ"พ่อ"ของคนทั้งประเทศ "พ่อ"ได้พูดกับครูเรียมเพียงสั้นๆว่า "อย่าทิ้งเด็กที่นี่นะครู" ... ตั้งแต่นั้นมาครูเรียมก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจทิ้งพื้นที่นี้ไปอีกเลย และเมื่อใดที่เหนื่อย ก็จะมีคำพูดนี้คอยเตือนสติและกลายเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดไปทันที
เรื่องราวของครูเรียมเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเรื่องของคนที่อาสามาทำงานที่โครงการหลวงดอยอ่างขาง หากคุณมีโอกาสได้ไปพูดคุยกับคนที่นั่น คุณจะพบว่าแต่ละคนมีเรื่องราวของตัวเองที่น่าสนใจมาก การมาอยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ มันก็ทำให้ผมพบว่าการทำงานด้วยใจที่เสียสละและทุ่มเทนั้นมันเป็นแหล่งพลังงานที่เติมเต็มให้ผมมีแรงจะเดินต่อทุกๆครั้งที่ได้มาสัมผัส หลายต่อหลายครั้งที่ผมกำลังเหนื่อยและเบื่อกับชีวิตที่วุ่นวายในกรุงเทพ แต่พอได้สัมผัสกับบรรยากาศของอ่างขางและรับฟังเรื่องราวของคนที่นี่ มันทำให้เรื่องของผมกลายเป็นเรื่องที่เล็กมากในทันที และผมก็รู้สึกได้ถึงพลังในตัวเองลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ปีนี้จะเป็นปีที่ 5 ที่ผมจะกลับไปเยือนอ่างขาง ผมเฝ้ารอการเดินทางนี้มาตั้งแต่วันที่เดินทางกลับเมื่อปีที่แล้ว อ่างขางกลายเป็น annual escapade ที่เติมเต็มชีวิตได้อย่างดี และถ้าคุณมีโอกาสและเวลา ผมอยากแนะนำให้ลองไปกันนะครับ เมืองไทยเรายังมีอะไรดีๆอีกมากมายที่เรายังไม่ได้ไปสัมผัส อ่างขางจะเป็นที่หนึ่งที่ทำให้คุณประทับใจได้แน่นอนครับ :)
No comments:
Post a Comment